Featured image of post ความกตัญญูของมโหสถบัณฑิต - รายการชนะแต่เช้า วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ความกตัญญูของมโหสถบัณฑิต - รายการชนะแต่เช้า วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564

รายการชนะแต่เช้าประจำ - วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564"

รายการชนะแต่เช้า

โดย พระมหาทศพร ปุญฺญงฺกุโร

ฟังเสียงในรายการชนะแต่เช้า วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564

มโหสถ
มโหสถ

มโหสถบัณฑิตกับความกตัญญู

​ ดังนั้นเพื่อต้องการรู้ความจริง มโหสถจึงได้รีบส่งข่าวไปยังสหายผู้ที่แฝงตัวอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าจุลนี เพื่อสอบถามถึงเหตุที่มานั้น

คนของมโหสถพยายามสืบเสาะเรื่องนี้อยู่นาน แต่แล้วก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปแน่นอน ทราบแต่เพียงว่า ก่อนหน้านี้พระเจ้าจุลนีกับพราหมณ์เกวัฏ ได้ขึ้นไปปรึกษาข้อราชการกันถึงห้องบรรทม

​ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าทั้งสองปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องใด

​ จะมีก็แต่เพียงนางนกสาลิกาที่เฝ้าห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนีเท่านั้นที่น่าจะทราบเรื่องนี้

ครั้นมโหสถทราบดังนี้แล้ว เพื่อความไม่ประมาท มโหสถจึงได้คิดเตรียมการวางแผนเพื่อแก้ไขสถานการณ์ไว้เฉพาะหน้า

​ จึงคิดว่า “เมื่อเกวัฏมาถึงมิถิลานครแล้ว ในฐานะราชทูตจากปัญจาลนคร เกวัฏก็จักสามารถเข้านอกออกในได้ตามสะดวก เมื่อนั้นก็จะเป็นการเปิดช่องให้เกวัฏสามารถย่ำยีมิถิลานครได้อย่างง่ายดาย**”**

ดังนั้น ก่อนที่พราหมณ์เกวัฏจะมาถึง มโหสถจึงคิดจะพรางหนทางตั้งแต่ประตูพระนครไปจนถึงพระราชนิเวศน์

​ และตั้งแต่พระราชนิเวศน์จนถึงเรือนของตน

​ โดยสั่งให้บริวารนำเอาเสื่อลำแพนซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายวิจิตรตระการตา กั้นเป็นแผงบังสองข้างทางไว้

​ เบื้องบนก็ให้กั้นเสื่อลำแพนไว้เช่นกัน แม้แต่บนทางเดินก็ให้โปรยดอกไม้ ตั้งหม้อน้ำไว้เป็นระยะๆ และปักต้นกล้วยพร้อมกับผูกธงไว้ปลิวไสวละลานตาไปจนสุดทาง

ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายศัตรู สังเกตเห็นการจัดระเบียบภายในพระนครได้

​ จากนั้นจึงเตรียมแผนถัดไปที่จะรับมือพราหมณ์เกวัฏเมื่อมาถึงแล้ว

เมื่อพราหมณ์เกวัฏ เดินทางมาถึงมิถิลานครแล้ว ก็พาคณะของตนเข้าพักยังศาลาต้อนรับแขกต่างเมือง ซึ่งตั้งอยู่ภายนอกกำแพงพระนคร เพื่อรอกำหนดนัดหมายที่จะเข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราช

พอถึงกำหนดวัน พราหมณ์เกวัฏจึงได้เหยียบย่างเข้าสู่มิถิลานคร ได้เห็นหนทางที่ประดับตกแต่งไว้ดีแล้ว จึงคิดว่า พระเจ้าวิเทหราชคงรับสั่งให้เตรียมการต้อนรับคณะของตนเป็นพิเศษ

​ คิดแล้วก็ยิ่งบังเกิดความปีติยินดีว่า “โอ…นี่พระเจ้าวิเทหราชทรงให้เกียรติเราถึงเพียงนี้เชียวหรือ

​ พระองค์เป็นถึงจอมราชา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด เพราะหลุมพรางตื้นๆของเราซะแล้ว ทีนี้ล่ะ**…****ถึงคราวเราบ้าง** **จะแก้แค้นให้สาแก่ใจทีเดียว****”**

โดยหารู้ไม่เลยว่านี่คือการป้องกันเมืองของมโหสสถ

พราหมณ์เกวัฏ เดินเข้าสู่ท้องพระโรงด้วยท่าทางอันผึ่งผาย

พากันถวายบังคม ทูลเกล้าถวายเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าวิเทหราช จากนั้นจึงได้นั่งลงบนที่นั่งที่จัดไว้รับรอง

​ พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพราหมณ์เกวัฏเป็นอย่างดี

ครั้นได้โอกาส เกวัฏจึงเริ่มว่า “ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในมิถิลานคร พระราชาของข้าพระองค์ มีพระราชประสงค์ที่จะทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับพระองค์

​ ท้าวเธอทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นพระนครทั้งสองเป็นดุจผืนทองแผ่นเดียวกัน

​ ดังนั้น จึงได้ทรงมอบหมายให้ข้าพระองค์นำพระราชสาสน์มากราบทูลแด่พระองค์ว่า มีพระราชประสงค์ที่จะทรงมอบรัตนะนานาชนิด พร้อมทั้งนารีรัตนะอันสูงค่า คือ พระราชกุมารีปัญจาลจันที ถวายแด่พระองค์ หวังว่า พระองค์จะทรงยินดีและพอพระราชหฤทัยในมิตรไมตรีในครั้งนี้ พระพุทธเจ้า”

พระเจ้าวิเทหราช ได้สดับคำกราบบังคมทูลของเกวัฏแล้ว ก็ทรงดีพระทัยเป็นล้นพ้น ทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้พระราชธิดาพระองค์นั้นมาครอง

​ เพราะถูกความสิเน่หาตรึงพระหทัยไว้แน่น พระองค์ทรงระงับพระปีติไว้ แย้มพระโอษฐ์หน่อยหนึ่ง แล้วตรัสขึ้นว่า เราขอรับมิตรไมตรีของพระเจ้าจุลนีด้วยความยินดียิ่ง

เกวัฏทราบพระประสงค์เช่นนั้นแล้ว จึงกราบทูลต่อไปว่า

​ “ขอเดชะ เพื่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พระเจ้าจุลนีทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ข้าพระองค์มาทูลเชิญเสด็จไปสู่ปัญจาลนคร เพื่อกระทำพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาปัญจาลด้วย พระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงโสมนัสเป็นที่ยิ่ง ไม่อาจข่มพระปีติไว้ได้

​ พระองค์เกือบจะทรงรับคำทูลเชิญของพระเจ้าจุลนีแล้วในทันที

​ แต่ครั้นทรงดำริขึ้นได้ว่า “ในฐานะผู้สำเร็จราชการ มโหสถบัณฑิตควรจะได้ทราบเรื่องนี้ด้วย”

​ พระองค์จึงตรัสกับเกวัฏว่า “ท่านเกวัฏ ดูเหมือนว่าท่านกับมโหสถเคยมีเรื่องกันมาในครั้งก่อน ดังนั้นขอท่านจงนำข่าวมงคลนี้ไปแจ้งให้มโหสถทราบด้วย

​ ถ้าอย่างไรท่านก็จงปรับความเข้าใจกันเสียก่อน เมื่อนั้นท่านจึงค่อยมาหาเราอีกครั้ง**”**

พราหมณ์เกวัฏ แม้จะไม่ยินดีที่จะไปพบมโหสถเท่าใดนัก

​ แต่ก็แสร้งกราบทูลเพื่อเอาใจ

​ “แน่นอนพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ตั้งใจมาแล้วแต่ต้นว่า หากมาครั้งนี้ ก็จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนมโหสถสักหน่อย

อย่างน้อยๆก็จะได้ลบล้างความหลังครั้งก่อน แล้วสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

​ เพื่อให้มิถิลานครและปัญจาลนครเหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวตราบนานเท่านาน พระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชตรัสชื่นชม “เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วท่านอาจารย์”

จากนั้น พราหมณ์เกวัฏจึงกราบบังคมลา เพื่อเดินทางไปยังเรือนของมโหสถเพื่อแจ้งข่าวตามที่ตนรับปากไว้

ฝ่ายมโหสถเมื่อรู้ว่า พราหมณ์เกวัฏมาหา จึงคิดว่า **“**คนพาลสันดานบาปอย่างเกวัฏ ไม่ควรที่เราจะสนทนาด้วย การเจรจากับคนหยาบช้าเช่นนี้ จงอย่าได้มีแก่เราเลย”

คิดดังนี้แล้ว มโหสถจึงดื่มยาคือเนยใสแต่เช้า ให้คนใช้ในเรือนเอาขี้วัวสดมาละเลงจนทั่วเรือน แล้วให้เอาน้ำมันทาเสาเรือนทั้งหมด

​ ส่วนบริเวณห้องโถงที่จัดไว้ต้อนรับพราหมณ์เกวัฏ ก็เหลือไว้แต่เตียงผ้าใบเตียงหนึ่งสำหรับเป็นที่นอนของตนเท่านั้น

​ ไม่มีเตียงตั่งหรือที่นั่งที่พิงไว้เผื่อใครๆทั้งสิ้น

เท่านั้นยังไม่พอ แต่ละซุ้มประตูมโหสถยังได้วางยามเฝ้าประตูไว้ทั้งเจ็ดชั้น

​ พร้อมกับกำชับยามเฝ้าประตูเหล่านั้น ให้ทราบวิธีที่จะปฏิบัติต่อพราหมณ์เกวัฏทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาในเรือน

พราหมณ์เกวัฏออกจากท้องพระโรงแล้ว ก็ตรงมายังเรือนของมโหสถเพียงลำพัง

เมื่อมาถึงประตูชั้นแรก เกวัฏก็เอ่ยถามคนเฝ้าประตูว่า “ท่านมโหสถอยู่หรือไม่ เราจะพบได้อย่างไรกัน” ว่าแล้วก็รีบเดินตรงไป

แต่กลับถูกยามเฝ้าประตูกั้นไว้ พลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า **“**นี่อย่าส่งเสียงเอ็ดอึงไปสิ ถ้าท่านต้องการจะมาหาท่านผู้สำเร็จราชการ ก็จงมาเงียบๆ วันนี้ท่านมโหสถป่วย ฉะนั้นท่านจะพูดเสียงดังไม่ได้เป็นอันขาด”

​ ว่าแล้วก็ปล่อยให้เกวัฏผ่านเข้าไป เกวัฏจึงผ่านประตูชั้นแรกเข้าไปด้วยความผะอืดผะอม

​ กระทั่งถึงประตูชั้นที่สอง ก็ถูกคนเฝ้าประตูกั้นทางไว้อีก แล้วถูกเตือนในทำนองเดียวกัน

​ เกวัฏถูกยามเฝ้าประตูแต่ละชั้น สั่งกำชับอย่างนี้จนถึงประตูชั้นที่เจ็ด ทำให้ชักจะเลือดขึ้นหน้า

เมื่อผ่านซุ้มประตูชั้นสุดท้ายมาแล้ว เกวัฏก็ตรงเข้าไปในห้องโถง เห็นมโหสถนุ่งผ้าแดงนอนอยู่บนเตียงผ้าใบ พยายามเหลียวมองหาที่นั่งสำหรับตน แต่ก็ไม่เห็นแม้ตั่งสักตัวเดียว ในที่สุดจึงต้องยืนคุยอยู่ห่างๆ

มโหสถนอนนิ่งอยู่บนเตียงผ้าใบเหมือนคนป่วย

​ พอเห็นเกวัฏเข้ามาใกล้ ก็ขยับตัวเล็กน้อย ทำทีจะทักทายปราศรัยด้วย แต่ก็ถูกบริวารที่เฝ้าอยู่ห้ามว่า “**ใต้เท้า โปรดอย่าพูดอะไรตอนนี้เลยขอรับ เพราะท่านดื่มเนยใสอย่างแรงเข้าไป ฉะนั้นขอท่านจงนอนพักเสียจะดีกว่า ท่านไม่มีความจำเป็นอะไรที่ท่านจะต้องพูดคุยกับพราหมณ์เลวๆอย่างเกวัฏ****”**

เกวัฏได้ฟังดังนั้นก็ข่มความโกรธไว้ แล้วเดินเข้าไปหามโหสถใกล้ๆ แต่จะนั่งก็ไม่ได้ แม้แต่ที่จะยืนก็ยังไม่ได้รับความสะดวก

​ ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ เหยียบมูลวัวสดๆอยู่ในที่นั้น โดยที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจต้อนรับเลยแม้แต่คนเดียว

​ มิหนำซ้ำยังถูกบริวารของมโหสถยักคิ้วหลิ่วตาให้ด้วยความหมั่นไส้ แสดงอาการดูหมิ่นอย่างรุนแรง เงื้อมือยกกำปั้น ขยับเท้าทำท่าจะเตะ

เกวัฏเห็นกิริยาอาการของคนเหล่านั้นไม่เป็นที่น่าไว้ใจ คิดว่า ถ้าขืนตนยืนอยู่ในที่นี้ต่อไป คงจะไม่ปลอดภัยแน่

จึงกล่าวกับมโหสถว่า ท่านบัณฑิตข้าพเจ้าลาล่ะ

เมื่อกล่าวจบ บริวารที่เฝ้ามโหสถตรงรี่เข้าไปหาเกวัฏ ตวาดเสียงกร้าวว่า เฮ้ยไอ้พราหมณ์ถ่อย แกอย่าเอ็ดไปนะ ถ้าขืนพูดอีก พวกข้าจะบดกระดูกแกเสีย

​ ว่าแล้วก็ช่วยกันจับคอเกวัฏไสไปข้างหน้า ตบหน้า-ทุบหลัง โทษฐานละเมิดคำสั่งที่บอกให้เงียบแล้วไม่เงียบ

​ เกวัฏออกไปถึงประตูชั้นไหน ก็ถูกผลักไสไล่ส่งไปอย่างนั้นจนพ้นออกจากประตูเรือน เกวัฏทั้งเจ็บทั้งอาย แต่ก็ไม่อาจตอบโต้อะไรได้

ครั้นรอดพ้นมาได้ เกวัฏก็ไม่รอช้า รีบเดินตรงแน่วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชทันที

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า “ป่านนี้ เห็นทีทั้งคู่คงจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว”

พระเจ้าวิเทหราชเห็นพราหมณ์เกวัฏเดินเข้ามา ก็ทรงรับสั่งถามว่า “เป็นอย่างไรท่านเกวัฏ”

เกวัฏขบฟันแน่น ไม่เบิกบานแช่มชื่นเหมือนเมื่อครั้งก่อน แล้วกราบทูลว่า “ขอเดชะ คนอย่างมโหสถไม่ควรนับว่าเป็นบัณฑิตเลย พระพุทธเจ้าข้า เพราะมโหสถเป็นคนถ่อย หยาบกระด้าง ไม่น่าคบหาสมาคมด้วยเลย

​ ขนาดข้าพระองค์เป็นฝ่ายไปหามโหสถถึงเรือน แต่มโหสถไม่ยอมพูดจาเลย กลับทำเป็นใบ้หูหนวกไปเสียอย่างนั้น อย่าว่าแต่จะออกมาต้อนรับเลย แม้แต่ที่นั่งหน่อยหนึ่งก็ไม่มีให้

​ จะทักทายปราศรัยสักคำก็ไม่มี คนอย่างนี้ไม่ควรอยู่ในราชสำนักของพระองค์เลย พระเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทูลของเกวัฏแล้ว ก็ทรงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่เหตุการณ์มิได้ราบรื่นตามที่ทรงคาดคิดไว้

​ ทรงตรัสว่า “เชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อนเถอะนะ”

แล้วรับสั่งให้เจ้าพนักงาน จัดหาที่พักรับรองให้แก่เกวัฏและคณะ

​ พร้อมพระราชทานทรัพย์ให้เป็นรางวัลตามสมควร หลังจากที่เกวัฏกลับไปยังที่พักแล้ว

​ พระเจ้าวิเทหราชก็ประทับอยู่ในที่นั้นเพียงลำพังพระองค์เดียว ทรงใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเมื่อสักครู่

ครั้นแล้ว จึงทรงดำริขึ้นได้ว่า “ธรรมดามโหสถบุตรของเรา เป็นผู้เคารพในการปฏิสันถารยิ่งนัก แต่เมื่อสักครู่เกวัฏกลับฟ้องว่าไม่ได้รับการต้อนรับจากมโหสถเลย

​ หากมโหสถไม่ยอมพูดคุยกับเกวัฏจริงๆ เชื่อแน่ว่าคงเป็นเพราะมโหสถมองเห็นการณ์ไกล รู้ว่าการมาของเกวัฏในครั้งนี้ มิใช่มาด้วยประสงค์ดี

​ แต่เป็นการอ้างเอาความสัมพันธ์ขึ้นบังหน้า หลอกให้เราเดินทางไปปัญจาลนคร แล้วจึงหาทางจับกุมตัวเราไว้เป็นแน่**”**

ทรงดำริดังนี้แล้ว ก็ยิ่งทรงหวาดหวั่นพรั่นพรึงในพระหทัย ระแวงไปต่างๆนานา

​ ไม่นานนักอาจารย์ทั้งสี่ก็พากันมาเข้าเฝ้า พระองค์ใคร่จะทราบความเห็นของอาจารย์เหล่านั้น

​ จึงรับสั่งถามอาจารย์เสนกะก่อนใครว่า ท่านอาจารย์ ท่านได้ทราบข่าวที่พระเจ้าจุลนีทรงยกพระราชธิดาให้แก่เราแล้วหรือ

​ อาจารย์เสนะกราบทูลว่า “ทราบแล้ว พระเจ้าข้า”

ราชา “แล้วท่านเห็นว่าอย่างไร เราควรจะไปหรือไม่ล่ะ”

​ อาจารย์เสนกะ ว่า “ควรอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าข้า การที่พระเจ้าจุลนีทรงพระราชทานพระราชธิดาให้แก่พระองค์นั้น นับเป็นข่าวมงคลอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าข้า ก็ในเมื่อสิริมาถึงพระองค์แล้ว จะมัวทรงรอช้าอยู่ไย การปล่อยให้นารีรัตนะที่งามพร้อมเช่นนี้หลุดลอยไป หาควรไม่ พระพุทธเจ้าข้า หากพระองค์เสด็จไปปัญจาลนคร

​ พวกข้าพระพุทธเจ้าก็จักขอตามเสด็จด้วย เมื่อนั้นก็จะพลอยได้รับบำเหน็จรางวัลเป็นเครื่องประดับต่างๆ จากปัญจาลนครด้วย พระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำตอบของอาจารย์เสนกะ ก็ทรงดีพระทัยยิ่งนัก

​ จึงลองตรัสถามอาจารย์ที่เหลือตามลำดับ ก็ทรงได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดกราบทูลทัดทานเลย

​ เมื่อเป็นดังนี้ ท้าวเธอก็ทรงคลายความระแวงพระทัย และทรงปักพระทัยมั่นที่จะเสด็จไปปัญจาลนครตามคำทูลเชิญของพระเจ้าจุลนี

(การมีที่ปรึกษาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มุ่งเอาแต่ประจบประแจงเจ้านายเพื่อประโยชน์ส่วนตน จะเป็นเหตุนำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในภายภาคหน้า

ขณะนั้นพราหมณ์เกวัฏพิจารณาว่า “การอยู่ในมิถิลานครแม้เพียงราตรีเดียวนั้น เป็นความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง เพราะถูกมโหสถเหยียดหยามอย่างแสนจะชอกช้ำ ขืนอยู่ต่อไปก็รังแต่จะอัปยศ ดังนั้นเราควรรีบกลับเมืองของเราเสียโดยเร็วดีกว่า**”**

จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชทันที พร้อมกราบทูลว่า “ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจักรอช้าอยู่มิได้แล้ว จำต้องขอกราบทูลลากลับสู่เมืองของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้นำพระราชไมตรีแห่งสองพระนคร ไปกราบทูลแพระเจ้าจุลนี”

พระเจ้าวิเทหราช “ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นการสมควร ท่านอาจารย์จงช่วยกราบทูลความยินดีของฉันแด่พระราชาของท่านว่า ฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พระนครทั้งสองจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน ชาวปัญจาละและชาวมิถิลาจะได้ไปมาหาสู่ด้วยอัธยาศัยไมตรี”

​ พระเจ้าวิเทหราชตรัสด้วยความชื่นชม แล้วพระราชทานสิ่งของแก่ พราหมณ์เกวัฏตามควร

พราหมณ์เกวัฏถวายบังคมลา เดินทางจากเมืองมิถิลาด้วยความแค้นเจือกระหยิ่ม

​ เพราะคาดว่า “อย่างไรเสียวิเทหราชคงต้องไปปัญจาลพร้อมกับมโหสถเป็นแน่”

ฝ่ายมโหสถบัณฑิต เมื่อทราบข่าวว่าเกวัฏกลับไปยังปัญจาลนครแล้ว

​ ก็รีบเข้าเฝ้าพระราชาทันที

​ พระเจ้าวิเทหราชเห็นมโหสถ เลยถามว่า “ท่านมโหสถ อาจารย์ทั้งสี่ต่างมีมติเป็นอันเดียวกันว่า ควรไปปัญจาลนครเพื่อรับเอาพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาที่นี่ ส่วนท่านล่ะมีความเห็นอย่างไร”

มโหสถได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว ก็นึกตำหนิอยู่ในใจว่า

​ **“**พระราชาของเรายังข้องอยู่ในกามมากเหลือเกิน พระองค์ทรงเชื่อถือถ้อยคำของอาจารย์ทั้งสี่ ผู้เขลาเบาปัญญา

​ จึงยังไม่ทรงเห็นโทษของการเสด็จไปยังแดนของศัตรู

​ เอาเถิด…เราจักเหนี่ยวรั้งพระองค์ไว้ ชี้โทษเหล่านั้นแก่พระองค์ เพื่อให้ทรงกลับพระทัยเสีย**”**

คิดดังนั้นแล้ว จึงกราบทูลทักท้วงอย่างหนักแน่นว่า

​ “ขอเดชะ พระองค์ทรงทราบดีมิใช่หรือว่า พระเจ้าจุลนีทรงมีแสนยานุภาพมาก มีไพร่พลมากมายถึง 18****กองทัพใหญ่ และทรงมุ่งหมายที่จะปลงพระชนม์ชีพของฝ่าพระบาทให้จงได้

​ เมื่อเป็นดังนี้ ฝ่าพระบาทยังจะเสด็จไปอีกหรือ???”

มโหสถแสดงอุปมา ว่า “ปลา กระหายเหยื่อ แม้จะอยู่ในน้ำลึกตั้งร้อยวา แต่ก็ยังขึ้นมาติดเบ็ดได้ มันอาศัยความอยากโดยแท้ จึงมองไม่เห็นความตายที่รออยู่ตรงหน้า

​ พระองค์ก็เหมือนกัน ทรงปรารถนาพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี มิได้ทรงเฉลียวใจเลยว่า นั่นเป็นเพียงเหยื่อล่อที่ห่อเบ็ดไว้ พระองค์หารู้ไม่ว่ามรณภัยกำลังรอคอยพระองค์อยู่…

หากว่า พระองค์ยังปรารถนาที่จะเสด็จไปปัญจาลนครอีก ก็ขอได้ทรงเลิกล้มความคิดนั้นเสียเถิด เพราะภัยอันใหญ่หลวงจักมาถึงพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า”

​ แต่พระเจ้าวิเทหราชกลับยิ่งทรงพิโรธโกรธมโหสถ เพราะทรงคิด ว่า “มโหสถช่างดูหมิ่นเราเหลือเกิน เปรียบเราเป็นเนื้อโง่บ้าง เป็นปลาติดเบ็ดบ้าง กล้าข่มขี่เราเหมือนข่มขู่ทาสในเรือนตน มิได้สำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นพระราชาเสียเลย**”**

ครั้นแล้ว พระเจ้าวิเทหราชจึงทรงตวาดมโหสถว่า “มโหสถ ทำไมเจ้าจึงกล้าพูดกับเราได้ถึงเพียงนี้ ดูสิ…ใครๆ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าจุลนีจักทรงประทานพระราชธิดาให้เรา ต่างก็พากันพูดถึงแต่สิ่งที่เจริญเป็นมงคลแก่เรา แต่เจ้ากลับทำลายมงคลของเราเสีย เจ้านี่ช่างไม่รู้จักอะไรเสียเลย**”**

พระเจ้าวิเทหราชด่ามโหสถ ด้วยเสียงเกรี้ยวกราด เท่านั้นยังไม่พอ พระองค์ยังตรัสประชดอีกว่า “เออ เรานี่แหละเป็นโง่ มิน่าล่ะ เจ้าถึงกล้าดีมาติเตียนเราเช่นนี้”

ครั้นทรงด่ามโหสถพอใจแล้วก็ไล่มโหสถด้วยพระสุรเสียงเฉียบขาดว่า “ราชบุรุษ…จงขับไล่มโหสถออกไปจากแคว้นของเราเดี๋ยวนี้”

ที่พระเจ้าวิเทหราช ทรงตรัสด้วยวาจารุนแรงถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพียงชั่วแล่นที่ทรงโกรธเท่านั้น ส่วนพระหทัยแท้จริงของพระองค์ ยังคงเห็นมโหสถเป็นคนสำคัญอยู่นั่นเอง ฉะนั้นพระองค์จึงมิได้ทรงคาดคั้นให้ราชบุรุษทำเช่นนั้นจริงๆ

มโหสถบัณฑิตเมื่อรู้ว่า พระราชาทรงกริ้วตน

​ จึงคิดว่า “หากมีใครถือตามคำสั่งของพระราชา แล้วมาจับมือหรือคอของเรา เราจะต้องละอายใจไปจนตลอดชีวิต ฉะนั้น เราออกไปจากที่นี่เสียเองจะดีกว่า**”**

​ คิดดังนี้แล้ว จึงถวายบังคมพระราชา ลุกจากที่นั่ง แล้วกลับไปสู่เรือนของตน

มโหสถรำพึงในใจด้วยความสลดหดหู่ใจว่า **“**พระราชาของเราทรงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ พระองค์มิได้ทรงตระหนักเลยหรือว่า สิ่งใดเป็นคุณ สิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดมิใช่ประโยชน์ต่อพระองค์

พระองค์ทรงหมกมุ่น ไปในกามอารมณ์ มุ่งหวังแต่เพียงว่า จะต้องได้พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีเท่านั้น จึงทรงมองไม่เห็นภัยที่กำลังจะมาถึง

​ หากว่าพระองค์ยังทรงยืนยันที่จะเสด็จไปให้ได้ พระองค์ก็จะต้องประสบความพินาศอย่างใหญ่หลวงทีเดียว**”**

ด้วยวิสัยแห่งบัณฑิต ผู้มีความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมประจำใจ มโหสถจึงเตือนใจตนเองว่า “แม้ว่าพระองค์จะทรงกริ้วเราก็ตาม จะทรงขับไล่เราก็ตาม เราก็ไม่ควรเสียเวลาเก็บเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาไว้ในใจ เพราะคำบริภาษของพระองค์ผู้ไม่รู้ อย่าไปถือสาหาความอะไรเลย

​ แม้ว่าที่ผ่านมาพระองค์จะทรงมีข้อที่ควรตำหนิอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆนั้น ก็เหมือนฝุ่นธุลีเมื่อเทียบกับขุนเขา

​ อย่างไรเสียก็ไม่อาจลบล้างพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ได้

​ ดังนั้น ไม่ว่าพระองค์ทรงปรารถนาสิ่งใด ก็ควรเป็นหน้าที่ของเราที่จะคอยสนองพระราชประสงค์ให้สำเร็จด้วยดี**”**

( นี้เป็นคุณธรรมของบัณฑิตอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็ตาม ก็ไม่ได้คิดที่จะเอาตนรอดเพียงลำพัง จะพยายามคิดหาวิธีช่วยเหลือและแก้ไขในเหตุการณ์นั้นๆให้ดีที่สุด )

​ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสรรเสริญบุคคล 2 ประเภทที่หาได้ยากในโลก คือ

ประเภทแรก เรียกว่า บุพการี หมายถึง ผู้กระทำอุปการะก่อน เป็นการกระทำความดีหรือกระทำคุณประโยชน์ให้แต่ต้น โดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น

ส่วนประเภทที่สอง เรียกว่า กตัญญูกตเวที หมายถึง ผู้รู้อุปการะที่เขาทำให้แล้วและหาวิธีการตอบแทน เป็นผู้ที่รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำความดีของผู้อื่น และได้แสดงออกด้วยวิธีต่างๆ เพื่อที่จะบูชาความดีนั้นๆ

เมื่อมโหสถคิดดังนี้แล้ว จึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือพระเจ้าวิเทหราช

​ พร้อมกันนั้นก็คิดจะสืบดูให้รู้แน่ว่า ข้อเสนอของพระเจ้าจุลนีในครั้งนี้ แท้ที่จริงแล้วพระองค์ทรงมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร เพราะหากได้ความจริงตั้งแต่ต้น ตนก็จะได้เตรียมการป้องกันได้ทันท่วงที

ขณะนั้น มโหสถนึกย้อน ถึงข้อความที่สหายผู้สืบราชการลับ ได้เคยส่งข่าวมาบอกว่า มีอยู่วันหนึ่งที่พระเจ้าจุลนีและพราหมณ์เกวัฎ ได้เคยปรึกษาข้อราชการกันถึงห้องบรรทมเพียงลำพังสองคน ซึ่งยากที่จะรู้ว่าปรึกษาเรื่องอะไรกัน มีแต่นางนกสาลิกาซึ่งเลี้ยงไว้ในห้องพระบรรทมเท่านั้นที่รู้

ครั้นแล้ว มโหสถได้เรียก “มาถูระ เพื่อมอบหมายภารกิจครั้งสำคัญ

มโหสถถาม “มาถูระลูกรัก เจ้ายังจำเกวัฏปุโรหิตของพระเจ้าจุลนีได้ไหม”

สุวโปดก “อ๋อ เกวัฏพราหมณชั่วนั่นน่ะหรือ เคยขี้ใส่ปากมาแล้วคราวหนึ่ง ทำไมจะจำไม่ได้”

มโหสถ “เมื่อวันก่อน เกวัฏมาถึงนี่ เพื่อทูลเชิญเจ้าเหนือหัวของเราไปอภิเษกกับพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี เพราะเหตุนี้**…****พ่อจึงอยากจะให้เจ้าไปสืบดูว่า** **นั่นเป็นแผนการร้ายของพระเจ้าจุลนี** หรือว่าพระองค์ทรงปรารถนาจะผูกสัมพันธไมตรีกับเจ้าเหนือหัวของเราจริงๆ”

สุวโปดกรับคำสั่งว่า “เรื่องเพียงเท่านี้เอง ได้สินาย”

​ แต่ว่างานนี้ไม่ง่ายอย่างที่สุวโปดกคิด เพราะว่าเป็นเรื่องของการทำความสนิทสนมอย่างใกล้ชิดกับนางนกสาลิกาที่ฉลาดมาก โดยได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระเจ้าจุลนี

มโหสถ “บัดนี้ เจ้าไปทำความสนิทสนมกับนางนกสาลิกานั้น แล้วให้นางหลงใหลในตัวเจ้า จากนั้นเจ้าจงหลอกถามความลับทั้งหมดของพระเจ้าจุลนีกับเกวัฏมาให้พ่อโดยด่วน”

ครั้นแล้ว จึงให้กินอาหารอย่างดีน้ำผึ้ง ให้ดื่มน้ำผึ้ง พร้อมกับเอาน้ำมันทาที่ขนปีก แล้วสั่งให้บินไปทางปัญจาลนคร

สุวโปดกเจ้านกแสนรู้ รับคำสั่ง บินเฉียงไปยังแคว้นสีวีก่อน

​ ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อว่า อริฐฏบุรี เพราะว่าแคว้นสีวีนี้เองเป็นอาณาจักรสำคัญ ซึ่งเป็นแหล่งกำลังพลของพระเจ้าจุลนี เพื่อจะสืบหาข่าวที่เป็นประโยชน์แก่มโหสถบัณฑิต และเพื่อเก็บรายละเอียดของเมืองนี้ไว้ใช้เป็นข้อมูล

​ เมื่อไม่พบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอย่างไร ก็บินต่อไปยังปัญจาลนครทันที

เมื่อถึงเมืองปัญจาลนครอันกว้างใหญ่ มาถูระบินผ่านอาคารบ้านเรือนและปราสาท อันเรียงรายเป็นถ่องแถว มุ่งไปยังปราสาทหลังมหึมา ซึ่งก็เป็นที่ประทับของพระเจ้าจุลนีนั่นเอง

พอถึงที่หมาย คือ พระราชวังแห่งปัญจาลนครแล้ว สุวโปดกก็บินไปจับบนโดมทองปลายยอดพระมหาปราสาท

พลางส่งเสียงขานเรียกนกสาลิกา ด้วยสำเนียงเจื้อยเแจ้วจับใจว่า สาลิกาจ๋า เจ้าอยู่ที่ไหนกัน ทำอย่างไรฉันจึงจะได้พบเธอเล่า

ขณะนั้น นกสาลิกาจับคอนอยู่ในกรงทองเรือนน้อยๆของนาง ซึ่งแขวนไว้ในห้องพระบรรทมของพระเจ้าจุลนี ครั้นได้ยินเสียงร้องเรียกของสุวโปดกแว่วผ่านสายลมมา

​ จิตใจก็ไหวระทวยไปด้วยเสียงนั้น นางนึกในใจว่า **“**ใครกันหนอมาส่งเสียงขานเรียกเรา เหมือนกำลังเพรียกหาคนรัก

​ แล้วนกสาลิกาก็บินไปจับที่หน้าต่างใกล้ที่บรรทมของพระราชา

พลางขานรับ

สุวโปดกได้ยินเสียงที่นกสาลิกาตอบรับ ก็บินผ่านช่องพระแกลมาตามเสียงของนาง ค่อยๆบินเข้าไปใกล้ๆ

เพียง นางนกสาลิกาเพียงได้เห็นสุวโปดกครั้งแรกเท่านั้น จิตใจของนางก็พลันอ่อนระทวยเหมือนถูกไฟเผาลน จนเกินที่จะห้ามใจได้

​ นางรีบเชื้อเชิญให้สุวโปดกเข้ามาเกาะเคียงกันบนขอบหน้าต่างด้วยกัน

สุวโปดก
สุวโปดก

สุวโปดกไม่รอช้า รีบถลาเข้าไปแนบชิดนาง แล้วเอ่ยทักทายด้วยคำหวาน “สาลิกาจ๋า กรงทองของเจ้างามเหลือเกิน งามสมกับเจ้าของผู้มีสีสวย มีเสียงไพเราะเช่นเธอ เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ เธอมีความสุขสบายดีหรือ ที่นี่ช่างน่ารื่นรมย์ น่าอยู่จริงๆนะจ๊ะ”

ฝ่ายนกสาลิกา เมื่อถูกนกแขกเต้าหนุ่มเอ่ยถามด้วยคำหวานถึงปานนั้น

​ นางจึงตอบรับอย่างสงวนท่าทีว่า “สบายดีจ๊ะ” ท่านหละ ชื่ออะไรมาจากไหน ใครใช้ให้ท่านมา เพราะก่อนนี้ข้าไม่เคยเห็นท่านเลย”

สุวโปดกถูกนางสาลิกาถามดังนั้น ก็ไม่กล้าบอกความจริง เพราะหากนางรู้ว่าตนมาจากมิถิลานคร นางก็คงไม่ยอมทำความสนิทสนมเป็นแน่ จึงตอบว่า “ฉันชื่อสุวโปดกมาไกลจากแคว้นสีวี เมืองอริฏฐบุรี ฉันอยู่บนปราสาทของพระเจ้าสีวีราช เป็นข้าบ่าวเฝ้าห้องบรรทมของพระองค์จ๊ะ พระองค์ทรงเมตตาฉันเหลือเกิน โปรดให้ฉันไปไหนมาไหนได้ตามปรารถนา มิได้กักขังไว้ในเรือนทองตลอดเวลาอย่างเธอดอกจ๊ะ”

นางสาลิกา “เจ้าเหนือหัวของข้าก็เมตตาข้าเหมือนกัน ก็ท่านเห็นเรือนทองของข้าแล้วมิใช่หรือ นั่นไงเปิดอยู่ตลอดเวลา ข้ามีสิทธิ์จะไปไหนมาไหนก็ได้ แต่ข้าจะไม่ไปไหนนอกเสียจากบริเวณห้องบรรทม”

เป็นว่า นกทั้งสองก็ทำความสนิทสนมกันอย่างเร็วมาก

นางสาลิกา “สหาย ท่านมาไกลขนาดนี้ เพราะมีธุระอะไรหรือ”

สุวโปดกเห็นว่าโอกาสมาถึงตนแล้ว จึงได้แสร้งตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ ว่า “ฉันน่ะ เคยมีภรรยามาแล้วล่ะ นางเป็นนกสาลิกาที่น่ารักอย่างเธอนี่เเหละ แต่น่าอนาถใจจริง เหยี่ยวร้ายได้พรากชีวิตของนางไปต่อหน้าต่อตาฉัน ฉันได้แต่มองดูภรรยาอยู่ในกรง แต่ก็หมดหนทางใดๆที่จะช่วยเหลือนางได้ ตอนนั้นหัวใจฉันแทบสลาย เพราะรักและสงสารนางเหลือเกิน**”**

​ แสร้งแสดงอารมณ์และน้ำเสียง ด้วยความโศกเศร้าอาลัยอย่างลึกซึ้ง

“เรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่ง ฉันและภรรยาตามเสด็จพระราชา พอกลับมาถึงตำหนัก ฉันก็พาภรรยาบินไปจับอยู่บนยอดตำหนัก มีเหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเราสองสามีภรรยาแต่ไกล จึงโผลงหวังจะมาโฉบฉันและภรรยา

​ ฉันตกใจกลัวรีบบินหนีเข้ากรงทองทันที แต่สาลิกาภรรยาของฉันกำลังท้องแก่ บินหนีไม่ทัน เหยี่ยวนั้นจึงโฉบภรรยาของฉันไปต่อหน้าต่อตา คิดแล้วก็ยิ่งแค้นใจที่ฉันเป็นเพียงนกตัวน้อย

​ ต่อมาพระราชาทอดพระเนตรเห็นฉันร้องไห้ จึงอนุญาตให้ฉันไปหาคู่ใหม่ที่เหมาะสมได้ และพระราชารับสั่งว่าว่า “เจ้าอย่าเสียใจไปเลย เราก็ได้เคยเห็นนางนกสาลิกาตัวหนึ่ง ผู้เพียบพร้อมเหมือนภรรยาของเจ้าไม่มีผิดเลย นางเป็นนกสาลิกาชาววัง เฝ้าห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนครโน่นแน่ะ**…** ไปสิ…เจ้าจงไปพบนาง ลองถามดูสิว่า **นางจะพอใจกับข้อเสนอของเจ้าหรือไม่** หากนางตกลงปลงใจด้วย **เจ้าก็จงกลับมาบอกเรา** **เราจะได้จัดขบวนหลวงไปทำพิธีสู่ขอนางกับพระเจ้าจุลนี** แล้วจะได้รับนางมาอยู่กับเจ้า …..สาลิกาจ๋า ก็ด้วยเหตุนี้แหละ ฉันจึงต้องมาหาเธอถึงนี่ **ปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เธอเป็นคู่ชีวิต** ถ้าเธอไม่รังเกียจฉันเสียก่อน **เราทั้งสองก็คงได้ครองคู่กันสืบไปนะจ๊ะ****…****นะนะ****”**

นางนกสาลิกาได้ฟังดังนั้น ก็สุดแสนจะปลื้มใจ แต่ก็มีความเขินอายตามวิสัยหญิง

​ นางจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แกล้งพูดอิดออดไปว่า “นกแขกเต้าก็ควรคู่กับนกแขกเต้า นกสาลิกาก็ควรคู่กับนกสาลิกา แต่นกแขกเต้าจะมาอยู่กับนางนกสาลิกา ก็ดูกระไรอยู่ ท่านเป็นนกแขกเต้า ข้าเป็นนกสาลิกา ต่างชาติต่างตระกูลกัน จะร่วมคู่อยู่เคียงกันได้อย่างไร

สุวโปดกได้ฟังแล้ว ก็รู้ทันทีว่า “นางมิได้ และยังเปิดโอกาสให้แก่เราอีกด้วย ใจจริงนางคงปรารถนาเราแน่ล่ะ แต่ทำเป็นบ่ายเบี่ยงไปอย่างนั้นเอง”

สุวโปดกพูดหว่านล้อมต่างๆนานาๆ มากมาย

และได้เล่าเรื่องฤาษีให้ฟัง “พี่เคยได้ยินมาว่า พราหมณ์คนหนึ่งนามว่า วัจฉะ เห็นโทษในกาม จึงออกบวชเป็นพระฤาษี

​ แล้วสร้างบรรณศาลาอยู่ในป่าหิมพานต์

​ และในที่นั้นเองมีถ้ำใหญ่อยู่ถ้ำหนึ่งเป็นที่อาศัยของฝูงกินนรจำนวนมาก

​ แต่กินนรเหล่านั้นช่างน่าสงสาร พวกมันโชคร้ายถูกแมงมุมยักษ์ตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่ปากประตู

​ ถ้ำกัดศีรษะแล้วดูดกินเลือดอย่างไม่ปรานี…

ตามธรรมดาแล้ว พวกกินนรมีกำลังน้อย จึงไม่อาจต่อสู้หรือป้องกันภัยอะไรได้เลย

​ พวกมันทนเห็นเพื่อนกินนรถูกฆ่าไปทีละตนสองตนไม่ได้

​ จึงพากันเข้าไปหาพระฤาษีวัจฉะ ขอร้องให้ช่วยกำจัดแมงมุมยักษ์ตัวนั้นเสีย

แต่พระฤาษีกลับไม่ยอมช่วยเหลือ บอกว่า “นักบวชอย่างเราย่อมไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น”

​ เมื่อถูกปฏิเสธเช่นนี้ กินนรทั้งหลายต่างก็พากันกลับเข้าถ้ำด้วยความผิดหวังอย่างแรง

​ ต่อมาไม่นานนัก พวกกินนรจึงได้ขอร้องให้นางกินนรีตนหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีสามี ชื่อว่า รัตนาวดี ให้ไปช่วยอ้อนวอนขอความเห็นใจจากพระฤาษี

​ และหากว่าพระฤาษียอมช่วย พวกตนก็จะมอบนางรัตนาวดีให้เป็นบาทบริจาริกา ช่วยปรนนิบัติบำเรอพระฤาษี

ฝ่ายพระฤาษี เมื่อได้เห็นกินรีรัตนาวดีเท่านั้น ก็ตกหลุมรักนางในทันที ในที่สุดจึงยอมรับข้อเสนอของเหล่ากินนรอย่างง่ายดาย

​ พระฤาษีไม่รอช้า รีบไปสู่ปากประตูถ้ำ แล้วใช้ค้อนตีแมงมุมยักษ์ ซึ่งกำลังออกมาหากินจนตายในที่นั้นเอง

​ เมื่อปราบแมงมุมยักษ์ได้แล้ว ก็รับเอานางกินรีนั้นมาเป็นภรรยา และอยู่ร่วมกันจนมีบุตรธิดาด้วยกัน ณ ที่นั้นเอง”

พอเล่าจบ สุวโปดกก็ชักเข้าสู่ประเด็น ว่า “เห็นไหมจ้ะ มนุษย์ผู้ทรงศีลก็ยังอยู่ร่วมกับกินรีผู้เป็นดิรัจฉานได้ จะกล่าวไปไยถึงเราทั้งสอง ซึ่งเป็นดิรัจฉานด้วยกันจะอยู่ร่วมกันไม่ได้เชียวหรือ”

​ สาลิกาได้ฟังเรื่องเล่าจากสุวโปดกแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “พอแล้วจ้ะพี่ น้องเชื่อแล้ว แต่…. น้องกลัวเหลือเกิน กลัวว่าพี่น่ะ จะมาหว่านล้อมให้น้องตายใจ พอสมใจพี่แล้วก็ทิ้งไป ปล่อยให้น้องต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย…( เรียกว่าพอได้แล้วก็ทิ้งไป)

พี่ก็รู้มิใช่หรือว่า ความอ้างว้างว้าเหว่เป็นภัยที่น่ากลัวยิ่งนักสำหรับสตรี

​ และทุกข์ใดๆก็ไม่เท่ากับการพลัดพรากจากบุรุษผู้เป็นที่รัก

​ หากว่าความรักของพี่เริ่มต้นด้วยการเคียงคู่กัน แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยการเลิกร้าง

​ น้องก็จะไม่ขอรับรักพี่เสียดีกว่า จะได้ไม่ทุกข์ใจในภายหลัง จริงไหมจ้ะ”

สุวโปดกฉลาดในมายาสตรี รู้ว่าถ้อยคำที่นางพูดมิได้ตรงกับใจ เพราะทีท่าของนางบ่งบอกถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้า

​ แต่วาจากลับปฏิเสธเหมือนต้องการจะลองใจตน

​ สุวโปดกจึงแกล้งพูดขึ้นเหมือนไม่สบอารมณ์ว่า…

“เอาเถอะน้องสาลิกา หากเจ้าไม่ไว้ใจพี่ และเห็นว่าพี่ไม่คู่ควรกับน้อง พี่ก็จะขอลากลับล่ะ

​ พี่มาในที่นี้ด้วยหวังจะขอให้น้องเป็นคู่ชีวิตไปจนตราบชีวาจะหาไม่

​ แต่น้องกลับตีค่าความปรารถนาดีของพี่ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ไร้ค่าไร้ความหมาย น้องช่างดูหมิ่นพี่เหลือเกิน

​ ก็ในเมื่อน้องไม่เห็นความสำคัญของพี่ พี่ก็จะแสวงหานางสาลิกาอื่นมาเป็นภรรยา**”**

นางนกสาลิกาได้ฟังคำตัดพ้อก็เดือนร้อนใจ นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่จ๋า พี่จะรีบร้อนไปไหน ขอจงฟังคำของน้องก่อนเถิด

​ พี่น่ะเป็นบัณฑิต ย่อมจะรู้ดีว่า ตามธรรมดา สิริย่อมไม่คู่ควรแก่ผู้ใจเร็วด่วนได้ สำหรับน้องแล้ว การเลือกคู่ครองเป็นเรื่องสำคัญ จำต้องคิด ต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนจึงจะควร…

พี่จงอยู่ที่นี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งรีบจากไปเลย รอดูเจ้าเหนือหัวของน้องก่อน แล้วพี่ก็จะได้เห็นพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ จะได้ฟังเสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะโสต

​ ผสานเสียงขับร้องบรรเลงเพลงของเหล่านารีผู้เลอโฉมในเวลาเย็นวันนี้แหละจ้ะ”

ทั้งสองต่างก็ได้ร่วมสมัครสมานกันฉันสามีภรรยา ต่างชื่นชมกันและกัน รักใคร่เอาอกเอาใจกันด้วยความรักที่หวานฉ่ำ

แผนการทั้งหมดของสุวโปดก สามารถสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับนางนกสาลิกาอย่างใกล้ชิด

หลอกให้นางนกสาลิกานั้นหลงใหลจนตายใจนั้น ได้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี

จึงกล่าวว่า “น้องสาลิกายอดรัก พี่ได้ยินชาวเมืองเขาลือกระฉ่อนกันไปทั่วทั้งเมืองว่า พระนางปัญจาลจันทีราชธิดาของพระเจ้าจุลนี ทรงมีพระสิริโฉมงดงามนักหนา พระเจ้าจุลนีจักทรงพระราชทานพระราชธิดาองค์นี้ ให้แก่พระเจ้าวิเทหราชแห่งมิถิลานคร และบัดนี้ก็เตรียมการกำหนดวันอภิเษกกันอยู่แล้ว

​ พี่สงสัยเหลือเกินว่า ข่าวนี้จะเป็นความจริงหรือ เพราะพระเจ้าจุลนีทรงเคยยกทัพไปตีมิถิลานครมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่จู่ๆพระองค์กลับทรงเปลี่ยนพระทัย ยกพระราชธิดาให้ศัตรูเสียง่ายๆ ฟังดูก็ชวนสงสัยอยู่นะ”

สาลิกาฟังคำของสุวโปดกแล้ว ก็ไม่สบายใจ รีบห้ามผู้เป็นสามีทันทีว่า “เรื่องอัปมงคลเช่นนี้ ทำไมพี่จึงมากล่าวในวันมงคลของเราเล่า พี่สัญญากับน้องแล้วมิใช่หรือว่า จะกล่าวเฉพาะเรื่องที่เป็นมงคลเท่านั้น”

สุวโปดกจึงท้วงกลับว่า “อย่างไรกันที่รัก พี่พูดถึงเรื่องมงคลนี่จ๊ะ แต่ทำไมน้องสาลิกาถึงว่าเป็นเรื่องอัปมงคลไปเสียล่ะ”

สาลิการีบแก้ว่า “พี่จ๋า เรื่องนี้ตามข่าวก็ดูเป็นมงคลอยู่หรอก แต่ภายหลังจะกลายเป็นอัปมงคลไป ความเป็นไประหว่างศัตรูคู่แค้น ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นข่าวมงคลหรอกนะ”

สุวโปดก จึงได้ขอร้องให้นางเล่าให้กระจ่าง

นางนกสาลิกาแม้นจะรู้ว่า เว้นแต่พระเจ้าจุลนีและพราหมณ์เกวัฏแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่าตนอย่างแน่นอน “พี่จ๋า น้องบอกไม่ได้ดอก บอกไม่ได้จริงๆ”

สุวโปดกจึงแกล้งตัดพ้อนางว่า

​ “โธ่เอ๋ย นี่น้องไม่ไว้ใจพี่เลยหรือ มันเป็นความลับสำคัญเชียวหรือ ไยน้องจึงบอกพี่ไม่ได้ น้องปิดบังเรื่องเพียงเท่านี้ ช่างน่าแคลงใจนัก เห็นทีว่าน้องคงไม่ได้รักพี่จริงๆกระมัง ในเมื่อน้องไม่ยอมบอกความลับแก่พี่ การเป็นสามีภรรยาของเราจะมีความหมายอะไร**”**

สาลิกาถูกตัดพ้ออย่างรุนแรงเช่นนี้ ก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ ไม่ยอมบอกง่ายๆ

​ เป็นว่าทั้งสองก็คาดคั้นกันไปคาดคั้นกันมา จนในที่สุด นางสาลิกาก็หลงคารมของมาถูระ

​ สาลีกา รีบกล่าวว่า “พี่เจ้าขา การที่พระเจ้าจุลนีทรงยกพระราชธิดาให้ครั้งนี้ แท้ที่จริง เป็นเพียงอุบายลวงให้พระเจ้าวิเทหราชและมโหสถบัณฑิตเดินทางมาสู่ปัญจาลนครนั่นเอง แต่ครั้นมาถึงแล้ว พระเจ้าจุลนีก็จะจับทั้งสองคนฆ่าเสียให้หายแค้น

​ เพราะพระเจ้าวิเทหราชเป็นศัตรูคู่แค้นคนสำคัญของพระองค์

ถ้าพระเจ้าวิเทหราชตกหลุมพรางเสด็จมาจริงๆ พระองค์ก็จะไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของพระนางปัญจาลจันทีเสียด้วยซ้ำ”

สุวโปดกได้ฟังดังนั้น จึงแกล้งพูดชมเกวัฏว่า **“แหม…**อาจารย์เกวัฏนี่ช่างฉลาดเสียจริง คิดอุบายได้ลึกซึ้งเหลือเกิน สมแล้วที่เป็นถึงปุโรหิตของพระเจ้าจุลนี”

สาลิกา “นี่ถ้าพี่รู้ว่า เป็นเรื่องอัปมงคลอย่างที่น้องท้วงติงมาตั้งแต่แรก พี่ก็คงจะไม่เสียเวลาพูดเรื่องนี้

​ เพราะวันนี้เป็นวันมงคลของเรา เอาเถอะน้องสาลิกาที่รัก เงียบเถอะจ้ะ ถึงเวลานอนแล้วนะจ๊ะ”

==================

เมื่อสุวโปดกล้วงความลับจากนางสำเร็จแล้ว จึงได้ชวนนางเข้านอนทันที ปล่อยให้ราตรีกาลของคืนนั้นผ่านไปด้วยความสุขเยี่ยงคู่รักที่เพิ่งครองคู่กันใหม่ๆ

ครั้นรุ่งเช้า สุวโปดกก็กล่าวกับนางว่า “น้องสาลิกาจ๋า วันนี้พี่จำใจต้องลาน้องกลับไปเมืองสีวี เพื่อกราบทูลเจ้าเหนือหัวของพี่ให้ทรงทราบว่า บัดนี้พี่ได้ภรรยาที่ถูกใจแล้ว และขอให้พระองค์เตรียมกำหนดวันที่จะมารับน้องไปอยู่ด้วยกัน**”**

สาลิกาฟังแล้วใจหาย ไม่ปรารถนาเลยที่จะไกลห่างจากสุวโปดกแม้ชั่วคืนเดียวก็ตาม

สุวโปดกจึงปลอบนางว่า **“**น้องสาลิกาจ๋า อย่าเศร้าใจไปเลยนะ พี่ไปเพียงแค่ ๗วันเท่านั้นล่ะ แล้วก็จะกลับมาพร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวของพี่ จะมารับน้องสาลิกาของพี่ไปเมืองสีวี ด้วยขบวนเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่อลังการทีเดียวนะจ๊ะ”

สาลิกาได้ฟังเช่นนั้น ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ว่า “น้องรักพี่เหลือเกิน น้องอนุญาตให้พี่ไปได้เพียง 7วันเท่านั้น หากแม้นเกินกำหนด น้องก็จะขอลาตาย**”**

สุวโปดก “น้องพูดอะไรอย่างนั้นล่ะจ๊ะ หากพี่กลับมาแล้วไม่พบน้องสาลิกา พี่ก็คงสูญสิ้น ต้องตรอมใจตามเจ้าไปอย่างแน่นอน

ซึ่งการร่ำลาในครั้งนี้ ยาวถึง 10 หน้าทีเดียว มีการกระเซ้าเย้าแหย่กันมากมาย จนหลวงพี่ต้องตัดออก เพราะจะยาวเกินไป

และในที่สุด การจากลาในครั้งนี้ของสุวโปดก ก็คือการจากไปแบบถาวร โดยไม่คิดที่จะหวนกลับมาอีก ซึ่งนางนกสาลิกาได้เห็นหน้าสุวโปดกเป็นครั้งสุดท้าย

ฝ่ายมโหสถบัณฑิต เฝ้ารอคอยการมาของสุวโปดกด้วยความห่วงใย

​ ในที่สุดก็เห็นสุวโปดกกลับมา

​ เจ้าสุวโปดก เมื่อกลับมาถึงเรือนแล้ว ก็มีอาการร่าเริงยินดี รีบบินตรงเข้าไปหามโหสถผู้เป็นนาย จับลงที่บ่าเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับสำคัญ

​ มโหสถรีบพาสุวโปดกขึ้นไปบนยอดปราสาท ไต่ถามเรื่องราวทั้งหมดทันที

เมื่อได้ฟังความลับจากสุวโปดกแล้ว มโหสถถึงกับรำพึงในใจว่า

​ **“**อย่างเราคาดไว้แล้วไม่มีผิดเลย แผนการของเกวัฏปุโรหิตช่างร้ายกาจนัก

​ หากว่พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปสู่ปัญจาลนครจริงๆ พระองค์ก็จะต้องถูกพระเจ้าจุลนีจับตัดหัวแน่

​ เอาเถอะ. แม้เราก็ยังไม่อาจเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ได้ แต่ถึงอย่างไร ความพินาศก็จงอย่าได้มีแพระเจ้าวิเทหราชของเราเลย

​ เพราะพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่เรา

​ ควรที่เราจะตอบแทนคุณแด่พระองค์ ไม่ควรปล่อยให้พระองค์ต้องตกไปในเงื้อมมือของพระเจ้าจุลนีเลย”

มโหสถก็เลยคิดหาอุบายป้องกันอันตราย

​ ยิ่งคิดหาวิธีก็ยิ่งมีความปีติใจ ว่า “คนเราเมื่อได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากใครก็ตาม ถึงเขานั้นจะกริ้วโกรธเรา สั่งให้เราไปตายก็ตาม เราก็ไม่ควรเก็บเอาไว้ในใจ แต่ควรหาทางสร้างประโยชน์ สร้างความเจริญให้กับผู้มีคุณนั้น

​ ขึ้นชื่อว่าการทำลายผู้มีพระคุณนั้น บัณฑิตทั้งหลายไม่ควรกระทำอย่างเด็ดขาด**”**

​ …ได้ข้อคิดอะไรบ้าง

เมื่อมโหสถบัณฑิต มีภาพในใจที่ชัดเจน ว่าจะถวายความจงรักภักดียิ่งด้วยชีวิต

​ ตามวิสัยของบัณฑิตแล้ว ดวงปัญญาที่ใสสว่างก็ยิ่งมองทะลุปรุโปร่ง ถึงวิธีการทำความปรารถนาของพระเจ้าวิเทหราชให้สำเร็จ

เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อมีอุปสรรคมาทับถมชีวิตหนักหนาสาหัสสักเพียงใด

​ ขอเพียงแค่เรามีกำลังใจและสติปัญญา ค่อยๆคิด แล้วหาวิธีการแก้ไขปัญหานั้นๆ ไม่ช้าไม่นานอุปสรรคต่างๆนานาในชีวิต ก็จะค่อยๆละลายหายสูญไป

​ เหมือนมโหสถบัณฑิต ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจอะไรเลย มีแต่จะคิดเอาชนะอุปสรรคนั้นๆให้สำเร็จให้จงได้

เมื่อคิดดังนี้แล้ว มโหสถบัณฑิตก็รีบเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช กราบทูลถามว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงตัดสินพระทัยจะเสด็จไปปัญจาลนครจริงๆหรือพระพุทธเจ้าข้า**”**

​ มโหสถทูลถามอีกครั้ง เพื่อความชัวร์ ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคำตอบของพระราชาจะเป็นเช่นไร

“แน่นอนทีเดียว พ่อมโหสถ เราต้องไปแน่ และจะไม่เปลี่ยนใจเป็นอันขาด

​ พระองค์ตรัสรับคำ “การไปปัญจาลนครในครั้งนี้ นอกจากจะได้พระราชธิดาของพระจุลนีมาเป็นศรีสง่าแก่วิเทหรัฐแล้ว ยังจะได้มีโอกาสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับปัญจาลนครอีกด้วย แม้เธอก็ควรจะไปด้วยกันนะ มโหสถ**”**

มโหสถ คิดว่า “การไปของเราในครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยให้พระองค์สมปรารถนา และขณะเดียวกัน ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องพิทักษ์รักษาพระองค์ด้วย

มโหสถจึง กราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จักขออาสาเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เพื่อเตรียมสร้างพระราชวังไว้ภายในปัญจาลนคร เพื่อใช้เป็นที่ประทับให้สำราญใจ

​ และหากการก่อสร้างเสร็จลงเมื่อใด ข้าพระองค์ก็จะรีบทูลเชิญเสด็จพระองค์ในทันที พระพุทธเจ้าข้า”

Built with Hugo
Theme Stack designed by Jimmy