Back
Featured image of post มโหสถบัณฑิต

มโหสถบัณฑิต

เรื่องราวการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์

บทความทศชาติชาดกและพุทธประวัติ : มโหสถชาดก มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
บทความทศชาติชาดกและพุทธประวัติ : มโหสถชาดก มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี

มโหสถบัณฑิต

เรื่องราวการสร้างปัญญาบารมีของพระโพธิสัตว์

มีพุทธพจน์บทว่า

ทุลฺลโภ ปุริสาชญฺโญ น โส สพฺพตฺถ ชายติ

ยตฺถ โส ชายตี ธีโร ตํ กุลํ สุขเมธติ

​ บุรุษอาชาไนยเป็นบุคคลหาได้ยากในโลก ท่านย่อมไม่เกิดในที่ทั่วไป ท่านเป็นนักปราชญ์ บังเกิดในสกุลใด สกุลนั้นย่อมถึงความสุข"

​ บุรุษอาชาไนย บุคคลผู้เป็นนักปราชญ์บัณฑิต เป็นพระโพธิสัตว์ผู้อุบัติขึ้นมาเพื่อฝึกฝนอบรมตนเอง บ่มบารมีให้แก่รอบ มีใจมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน

​ เมื่อท่านเกิดมา ท่านจะตั้งใจสั่งสมบุญกุศล ทำแต่ความดีล้วนๆ ไม่ข้องเกี่ยวกับบาปอกุศลอันจะนำความทุกข์มาให้ ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และวงศ์ตระกูล บุคคลประเภทนี้

​ ท่านไม่เกิดในที่ทั่วไป ด้วยท่านเคยสั่งสมบุญเก่ามาดี เมื่อเกิดทั้งที จะเลือกเกิดในปฏิรูปเทส ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการสร้างบารมี

​ ครอบครัวใดได้บุรุษอาชาไนย ผู้มีบุญบารมีมาเกิด ครอบครัวนั้นถือว่าโชคดี มีสิริมงคลเกิดขึ้น

เหมือนอย่างเรื่องของมโหสถบัณฑิต

ปรารภเหตุ

เรื่องมีอยู่ว่า เย็นวันหนึ่ง พระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ได้ นั่งประชุมกันในธรรมสภา กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณของพระบรมศาสดาว่า พระองค์เป็นผู้มีพระปัญญายิ่งใหญ่ มีพระปัญญากว้างขวาง ลึกซึ้ง มีพระปัญญาดุจแผ่นดิน มีพระปัญญาหลักแหลม มีพระปัญญาว่องไว แทงตลอดในสรรพสิ่ง สามารถข่มวาทะของเจ้าลัทธิอื่นๆ ได้ ทรงกลับใจพวก ปริพาชก นักบวชนอกศาสนาให้หันกลับมานับถือพระรัตนตรัย ทรงทรมานอมนุษย์เช่นนาคหรือยักษ์ ทรงเป็นครูของเหล่าพรหมและอรูปพรหม ทรงมีพระปัญญาหาประมาณมิได้

พระบรมศาสดาก็เสด็จมา และตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระตถาคตมีปัญญาหาประมาณมิได้ แม้ในอดีตกาลเมื่อญาณของเรายังไม่แก่กล้า ก็เป็นผู้มีปัญญามากเหมือนกัน”

​ เรื่องมโหสถบัณฑิตแห่งมิถิลานครนี้ (กาลิงครัฐ พระเตมีย์) เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาว แต่มีเนื้อหาสาระที่น่ารู้น่าศึกษามาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้ปัญญา และปฏิภาณอันเฉียบแหลมของพระบรมโพธิสัตว์

เริ่มชาดก

ท้าวความ เมืองมิถิลานคร เป็นราชธานีของแคว้นวิเทหรัฐ เป็นมหานครกว้างใหญ่ไพศาล มีความอุดมสมบูรณ์ และคับคั่งไปด้วยผู้คน มีพระราชาคือพระเจ้าวิเทหราช ปกครองด้วยทศพิธราชธรรม ทำให้ประชาชนมีความสุขความสงบร่มเย็น

​ พระองค์ได้แต่งผู้ที่อุดมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ มีความรู้ความสามารถให้เป็นที่ปรึกษาราชการบ้านเมือง

​ ก็มีปุโรหิต(ที่ปรึกษา) ถึง ๔ ท่าน คือ อาจารย์เสนกะ อาจารย์ปุกกุสะ อาจารย์กามินท์ และอาจารย์เทวินท์

​ อาจารย์ทั้งสี่นี้ เสมือนคลังแห่งปัญญา ที่คอยให้คำปรึกษาแก่พระราชาเป็นอย่างดี ทำให้ปราศจากภัยทั้งภายนอกและภายใน

​ แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าวิเทหราชก็ยังทรงใฝ่พระทัยที่จะแสวงหา ผู้รู้บัณฑิตนักปราชญ์ ผู้เชี่ยวชาญในการต่างๆ มาช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

​ ใกล้รุ่งวันหนึ่งพระองค์ทรงพระสุบินว่า ฝันเห็นแสงสว่างสว่างมากๆๆๆๆ สว่างไปทั่วจักรวาลเลย ทำความชุ่มใจให้กับมหาชน

​ พระเจ้าวิเทหราชทรงพระสุบินแล้ว ก็สะดุ้งพระทัยตื่น พลางรำพึงถึงพระสุบินตามปกติวิสัยของผู้นำว่า จะเป็นนิมิตร้ายหรือดีประการใด หรือจะออกเลขอะไรหรือป่าว

​ พระองค์ เล่าเรื่องให้อาจารย์ทั้ง 4 ฟัง “ท่านอาจารย์โปรดทำนายนิมิตนี้ทีเถิดว่า จะดีหรือร้ายประการใด”

​ อาจารย์เสนกะ วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว ได้กราบทูลยืนยันมั่นเหมาะว่า “ขอเดชะ เป็นนิมิตระบุถึงผู้มีบุญมีปัญญาเอกอุดม และจะเป็นบัณฑิตคนที่ ๕ เป็นที่นิยมเคารพบูชาของทวยเทพ และมนุษย์ทั้งหลาย หาผู้เสมอเหมือนมิได้ทีเดียว พระเจ้าข้า”

​ คำพยากรณ์ของท่านเสนกะนับได้ว่าแม่นยำทีเดียว เพราะวันนั้นเป็นวันที่ท่านผู้เป็นมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานครได้ถือปฏิสนธิใน ครรภ์มารดา

​ เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทรงฟังแล้วก็อยากพบเจอบัณฑิตคนที่ ๕ นี้ตลอดเวลา

​ แต่ก็ทรงอดพระทัยรอถึง ๗ ปี

เวลาผ่านไป ๗ ปี ทรงดำริว่า

​ “ธรรมดาผู้มีบุญญาธิการ อายุเพียง ๗ ปี ก็จะปรากฏแววแห่งความเฉลียวฉลาด

​ เราควรที่จะให้อำมาตย์ออกไปเที่ยวสืบเสาะดู ให้รู้ตำแหน่งที่อยู่ของบัณฑิตนั้น”

​ จึงทรงรับสั่งกับท่านเสนกะว่า “ท่านอาจารย์ นับแต่วันที่มีนิมิต จนถึงบัดนี้เป็นเวลา ๗ ปี แล้ว ป่านนี้บุคคลผู้นั้นคงจะมีอายุพอที่จะปรากฏแววแห่งปัญญาได้บ้างแล้ว เราอยากจะพบเขาเสียจริง**"**

​ พระองค์ทรงสั่งให้อำมาตย์ ๔ คน ออกไปเที่ยวสืบเสาะหาใน

​ จนในที่สุด อำมาตย์ที่ไปทางทิศตะวันออก ได้ไปถึงยวมัชฌคาม และเข้าไปนั่งพักภายในศาลาอันโอ่โถงวิจิตรตระการตา มีสระโบกขรณี น้ำใสเย็น มีสวนดอกไม้ สวนผลไม้ ก็คิดในใจว่า

​ “ผู้ที่สร้างศาลาหลังนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่งทีเดีย สังเกตจากรูปแบบของการก่อสร้างแล้ว มิใช่สติปัญญาของสามัญชนที่พึงจะกระทำได้ อย่างน้อยก็อาศัยความรู้ความสามารถของผู้ที่มีปัญญาระดับนักปราชญ์บัณฑิตที เดียว ถึงจะทำได้”

​ ตึงไต่ถามบุคคลที่มาพักผ่อนอยู่บริเวณนั้น จึงรู้ว่าเป็นการออกแบบของบัณฑิตน้อยอายุเพียง ขวบ เท่านั้น

​ ท่านอำมาตย์ได้ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องราวของกุมารผู้เป็นบัณฑิตอย่างละเอียด ลออ และได้เขียนจดหมายรายงานกราบทูลพระราชา มีใจความว่า

๕.มโหสถชาดก - เว็บไซต์แห่งการเรียนรู้ - ธรรมทาน - สวรรค์และนรก
๕.มโหสถชาดก - เว็บไซต์แห่งการเรียนรู้ - ธรรมทาน - สวรรค์และนรก

​ “ณ บ้านยวมัชฌคาม ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก มีศาลาหลังหนึ่งมีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า "ศาลาเด็กน้อย" เพราะ ผู้สร้างคือเด็กมีอายุเพียง ๗ ขวบ ออกแบบแผนผังของศาลาตั้งแต่แรกเริ่ม

ทั้งเป็นผู้ชักชวนเพื่อนๆ ให้ขอทรัพย์จากบิดามารดา ให้มาร่วมทุนกันคนละ กษาปณ์ ได้เงินรวม ๑,๐๐๐ กษาปณ์

จากนั้นบัณฑิตน้อย จะเป็นผู้สั่งงานให้ช่างทำตามที่ตนออกแบบทุกประการ

​ ศาลาหลังนี้แบ่งเป็นส่วนๆ มีห้องพักที่จัดไว้เพื่ออนุเคราะห์มหาชนที่มาขออาศัย

​ มีห้องสำหรับชนทั่วไป

​ หญิงอนาถาคลอดบุตร

​ สมณพราหมณ์

​ คฤหัสถ์ผู้เดินทาง

​ และห้องเก็บสินค้าของพ่อค้าผู้มาพัก

​ บริเวณศาลามีสนามเล่นกว้างขวาง สามารถให้เด็กจำนวนเป็น 1000 ลงมาเล่นพร้อมๆ กันได้

​ และยังมีห้องโถงกว้างขวาง ซึ่งเป็นห้องประชุมใหญ่สำหรับเวลามีเรื่องราวที่จะต้องวินิจฉัย และยังเป็นสถานที่สำหรับให้การอบรมแก่มหาชนด้วย

​ เมื่อสร้างศาลาเสร็จ บัณฑิตน้อยจะเรียกช่างศิลป์มาเขียนภาพอันวิจิตรตระการตา

ศาลานี้บังเกิดขึ้นอย่างงดงามเปรียบเสมือน สุธรรมาเทวสภาของท้าวสักกะ

​ หลังจากสร้างศาลา ก็ให้ขุดสระโบกขรณี ด้วยดำริว่า เพียงแค่ศาลาใหญ่ยังไม่งดงามเพียงพอ หากไม่มีสระก็จะไม่เป็นที่บันเทิงใจ

​ สระจะทำให้ศาลาน่าอยู่ขึ้น และรู้สึกเย็น สระโบกขรณีมีลักษณะเป็นเวิ้งกว้างลดเลี้ยวอย่างมีศิลปะนับได้พันคุ้ง มีท่าน้ำสำหรับลงอาบ และแม้มหาชนจะมากันมากมาย ก็สามารถกระจายกันลงไปอาบน้ำได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องเบียดเสียดกัน

​ ทัศนียภาพของสระมีความเป็นธรรมชาติ มีดอกบัวงดงาม บัณฑิตน้อยได้ให้ปลูกดอกบัวยามมีดอกก็บานสะพรั่งสลับกันหลากสี

​ น้ำในสระใสเย็น มองเห็นได้ถึงพื้นดิน ฝูง ปลาก็พากันว่ายเวียนวนไปมา

​ บัณฑิตน้อยได้จัดการเป็นที่เรียบร้อย โดยหวังอนุเคราะห์มหาชน มุ่งทำสถานที่ให้เป็นทาน สมณพราหมณ์ทั้งหลายต่างมารับภัตตาหารที่นี่ ทำให้มหาชนมีโอกาสได้ทำทาน และได้ใช้สถานที่แห่งนี้ตามอัธยาศัยอย่างสบายใจ

​ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการประชุมกันในห้องโถงของศาลา ทั้งได้แนะนำมหาชนในสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ

​ หมู่ชนที่พากันมาฟังธรรม ต่างอนุโมทนาสาธุ-การในภูมิปัญญาและภูมิธรรมของท่านบัณฑิตน้อย จนได้รับการขนานนามว่า มโหสถบัณฑิตกุมาร

​ (เพราะเป็นบุตรของท่านสิริวัฒนเศรษฐี อีกทั้งขณะที่ท่านคลอดออกจากครรภ์มารดา ได้ถือแท่งโอสถซึ่งทรงสรรพคุณวิเศษมาด้วย กุมารน้อยได้นำโอสถไปฝนทาที่ศีรษะของบิดา ซึ่งปวดมา ๗ ปี ทำให้อาการปวดศีรษะหายไปในทันที จึงมีนามว่าโอสถอยู่ด้วย และโอสถนั้นยังเกิดอุปการะคุณต่อมหาชนทั่วไป ใครเจ็บไข้ได้ป่วยรักษาไม่หายหรือใกล้ตาย ครั้นได้รับการรักษาด้วยยาวิเศษของมโหสถ ต่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้ชื่อเสียงของกุมารยิ่งลือกระฉ่อนออกไปทุกๆ วัน”

​ นี่ เด็กเพียงแค่ ๗ ขวบ จะทำได้ถึงขนาดนี้….

​ ซึ่งก่อนที่มโหสถกุมารจะออกจากครรภ์มารดา ท้าวสักกเทวราชในเวลาที่พระโพธิสัตว์คลอดจากครรภ์มารดา และทรงวางแท่งโอสถทิพย์แท่งหนึ่งไว้ในมือของทารก จากนั้นก็เสด็จกลับไปยังทิพยวิมาน

​ นางสุมนาเทวีเห็นแท่งโอสถในมือของบุตร จึงถามลูกน้อยว่า "พ่อได้อะไรมา" หนูน้อยก็พูดได้ทันทีอย่างอัศจรรย์ โดยตอบมารดาว่า “โอสถจ้ะแม่”

​ พลางวางทิพยโอสถในมือมารดา และบอกว่า “ขอให้แม่จงใช้โอสถนี้รักษาคนเจ็บป่วยเถิด”

​ นางสุมนาเทวี ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ได้ร้องบอกสิริวัฒนเศรษฐีผู้เป็นสามี และทดลองใช้รักษาโรคปวดศีรษะของท่านเศรษฐี โรคนั้นก็หายเป็นอัศจรรย์

ซึ่งในวันที่มโหสถคลอดออกมานั้น ก็มีเด็กถึง **,****๐๐๐** **คน** ที่เกิดพร้อมกันในวันนั้น

​ ท่านสิริวัฒนเศรษฐี(พ่อ)จึงให้ความอุปถัมภ์แก่เด็กทุกๆ คน และจัดงานมหามงคลฉลองเด็กทั้งหมดพร้อมกับลูกของตน

​ เมื่อเติบโตขึ้น เด็กๆ เหล่านั้นต่างพากันแวดล้อมมโหสถกุมาร และเป็นบริวารของมโหสถด้วย(เป็นผู้นำตั้งแต่ยังน้อยเลย)

​ ส่วนพระเจ้าวิเทหราช เมื่อได้รับรู้ข่าวดีจากอำมาตย์ ทรงปีติปราโมทย์พระทัยยิ่งนัก ตรัสเรียกท่านเสนกะมาเข้าเฝ้า รับสั่งว่า “มีรายงานมาอย่างนี้ เราควรจะนำบัณฑิตนั้นมาหรือยัง”

​ ในตอนแรกๆ ท่านเสนกะก็ดูกระตือรือร้นในเรื่องนี้ เป็นเพราะต้องการจะทำให้ถูกใจของพระราชา

​ แต่พอเห็นพระราชาทรงสนใจมากเป็นพิเศษ จึงเกิดความอิจฉา ไม่ต้องการเห็นผู้ใดมีปัญญาเฉียบแหลมไปกว่าตน

เพราะมีลางสังหรณ์ว่า ลาภสักการะของตนจะลดลง เพราะกลัวจะเรทติ้งตก มีดาวดวงใหม่เข้ามาในวงการ

​ ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติของปุถุชนผู้ยังมีกิเลสอยู่ ซึ่งมีมากันทุกยุคทุกสมัย กระทั่งยุคปัจจุบันนี้

​ อาจารย์เสนกะจึงได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ สมมติเทพ การสร้างศาลานั้น ยังเล็กน้อยเกินไป ไม่สมกับเหตุที่จะทำให้เป็น ชื่อว่า เป็นบัณฑิต เพราะใครๆ ก็สร้างได้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าอัศจรรย์เลย

​ การเป็นราชบัณฑิตได้ด้วยเหตุเพียงสร้างศาลา ดูจะไม่เหมาะสมหนักแน่นเท่าไร ขอได้โปรดทรงพิจารณา และสังเกตติดตามต่อไปเถิดพระเจ้าข้า**"**

​ พระราชา ได้ฟังถ้อยคำของท่านเสนกะแล้ว ทรงไม่กล้าผลีผลามทำอะไร จึงรับสั่งให้อำมาตย์ สังเกตดูบัณฑิตน้อยท่านนี้ไปก่อน เมื่อมีเหตุการณ์อันใดที่พิเศษเกิดขึ้น ให้รีบรายงานมาเป็นระยะๆ

​ และก็ได้มีเหตุการณ์มากมาย

​ เช่นวันหนึ่ง มโหสถกับเพื่อนเด็กๆ ทั้ง ๑,๐๐๐ คน พากันเล่นอยู่ในสนาม มีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบชิ้นเนื้อมาได้จากโรงครัว คาบบินผ่านเข้ามาในบริเวณสนามหญ้า พวกเด็กๆ เห็นเข้าต่างพากันวิ่งตามเหยี่ยว ขู่ตวาดโห่ร้องเพื่อให้เหยี่ยวตกใจ จะได้ปล่อยชิ้นเนื้อลงมา

​ ต่างรู้สึกสนุกสนานที่วิ่งไล่เหยี่ยว พอเด็กๆ พากันวิ่งกันไปเยอะๆ พากันแหงนดูเหยี่ยวไปพลาง ก็สะดุดตอไม้ ตกหลุม ตกบ่อ ล้มลุกคลุกคลาน บาดเจ็บไปตามๆ กันด้วย

​ มโหสถกุมารเห็นเช่นนั้น ก็ตะโกนบอกให้เพื่อนๆ หยุดไล่ ส่วนตัวเองก็วิ่งกวดไปอย่างรวดเร็ว ตาก็ดูเงาเหยี่ยวที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน โดยไม่แหงนดูบนท้องฟ้า วิ่งไปเหยียบเงาเหยี่ยว พลางตบมือตะโกนเสียงดังลั่น ดุจเสียงนั้นจะผ่านเข้าไปคำรามอยู่ในท้องของมัน

​ มันตกใจมากจึงทิ้งชิ้นเนื้อลงมา มโหสถมองดูเงาของชิ้นเนื้อ ที่กำลังหลุดลอยลงมาจากปากเหยี่ยว

​ และเอามือรับชิ้นเนื้อนั้นไว้ทันที โดยชิ้นเนื้อไม่ตกถึงพื้นดินเลย

​ เด็กทั้ง ๑,๐๐๐ คน ต่างเปล่งเสียงโห่ร้องชื่นชมในอัจฉริยภาพของมโหสถ พร้อมกับปรบมือกันกราวเกรียว

​ เมื่ออำมาตย์รายงานเรื่องนี้แล้ว พระราชาทรงชื่นชมโสมนัส มีพระทัยยินดีอยากจะได้มโหสถกุมารมาชุบเลี้ยง

​ แต่อาจารย์เสนกะยังเหนี่ยวรั้งไว้ เพราะหวั่นไหวกลัวจะตกอับ คิดว่า “หากมโหสถเข้ามาอยู่ในราชสำนักเมื่อไร เราทั้ง ๔ คนก็จะเป็นเหมือนพระอาทิตย์ดับแสง พระราชาอาจจะทรงลืมพวกเราเสียก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นอันหมดลาภยศสรรเสริญที่เคยได้ "

​ อำมาตย์จึงกราบทูลทัดทานว่า “เหตุเพียงเท่านี้ ยังเล็กน้อยเกินไปพระเจ้าข้า ไม่เพียงพอที่จะให้บุคคลได้นามว่าเป็นราชบัณฑิต เพราะมโหสถวิ่งไล่เหยี่ยว แล้วได้เห็นเงาของเหยี่ยว เป็นความคิดที่เกิดในภายหลัง เรื่องนี้จึงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น "

พระราชาทรงสดับแล้ว ทรงนิ่งโดยดุษณี และรับสั่งให้อำมาตย์คอยดูพฤติกรรมของมโหสถต่อไป

​ วันหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งอุ้มลูกไปที่สระโบกขรณีของมโหสถเพื่อล้างหน้า

​ นางได้วางทารกน้อยไว้ที่ริมฝั่ง ส่วนตัวเองเดินลงไปอาบน้ำล้างหน้า

ทันใดนั้น มียักษิณีตนหนึ่งเห็นเด็กนอนอยู่ จึงอยากจะจับกินเป็นอาหาร นางได้แปลงเป็นหญิงเดินเข้าไปอุ้มทารกขึ้นหยอกเย้าเล่น

เพื่อให้เด็กทารกจะได้ไม่ร้องไห้ แล้วรีบอุ้มพาหนีไป

​ มารดาของเด็กเห็นนางยักษ์จำแลงพาลูกตนหนีไป จึงรีบวิ่งขึ้นจากสระน้ำ ไล่กวดตามไปจนทัน

​ และขอร้องให้ส่งลูกของตนคืนมา แต่นางยักษ์แย้งว่า เด็กทารกเป็นลูกของตน ไม่ใช่ลูกของนาง

​ มโหสถกุมารได้ยินเสียงหญิงทั้งสองทะเลาะกันก็ไต่ถามว่า ท่านทั้งสอง เป็นผู้ใหญ่แล้ว มาทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องอะไร"

​ หญิงทั้งสองต่างกล่าวหากันว่า อีกฝ่ายลักขโมยลูกของตัว (เธอหนะขโมย เธอสิขโมย)

​ ต่างยืนยันว่าเป็นแม่ของเด็ก

​ …ถ้าเป็นเรา…

​ มโหสถฟังความแล้ว พิจารณาเห็นหญิงคนหนึ่งมีลักษณะผิดปกติกว่ามนุษย์ธรรมดา คือ มีนัยน์ตาไม่กะพริบและมีสีแดง เมื่อยืนกลางแดดก็ไม่มีเงา จึงรู้ว่านี่คือนางยักษ์จำแลงกายมา

​ แต่เพื่อความกระจ่างของคนทั่วไป จึงถามหญิงทั้งสองว่า “ถ้าจะให้ฉัน(มโหสถ)ตัดสิน จะยอมรับคำวินิจฉัยไหม”

​ หญิงทั้งคู่ต่างรับว่ายอม

​ และจะตั้งอยู่ในคำวินิจฉัยของมโหสถทุกประการ

​ มโหสถให้คนขีดเส้นที่พื้น ให้เด็กทารกนอนอยู่ระหว่างเส้น แล้วให้นางยักษ์จับข้อมือเด็ก ให้มารดาจับที่ข้อเท้า

​ บอกว่า “ถ้าใครดึงเด็กให้พ้นไปจากเส้นที่ขีดไว้ได้ เด็กก็เป็นลูกของผู้นั้น”

​ หญิงคนหนึ่งดึงด้วยแรงปรารถนาอยากจะกินเป็นอาหาร ฝ่ายหนึ่งดึงด้วยแรงรักในบุตร

​ เมื่อเด็กถูกชักเย่ออย่างนั้นก็ร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวด

​ เสียงร้องของลูกรักเป็นเสียงที่มีอิทธิพลต่อผู้เป็นมารดา และบีบคั้นหัวใจของมารดาเป็นอย่างมาก

​ หญิงผู้เป็นแม่กลัวลูกจะเจ็บ จึงยอมปล่อยมือ และยอมให้นางยักษ์ดึงไปฝ่ายเดียว ส่วนนางนั่งร้องไห้อย่างน่าเวทนา

​ มโหสถถาม ประกาศท่ามกลางมหาชนที่มาประชุมว่า

​ “ธรรมดาจิตใจของหญิงผู้เป็นมารดา กับของหญิงที่ไม่เป็นมารดา ฝ่ายไหนจะมีความสงสาร หรือหวั่นไหวไปตามอาการของลูกที่เจ็บปวด

​ มหาชนได้ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ผู้เป็นมารดาเท่านั้น ที่จะรู้สึกอย่างนี้ได้มากกว่าใครๆ เพราะเมื่อคราวลูกอยู่ดีมีสุข ใจมารดาก็แช่มชื่น คราวลูกเจ็บไข้ได้ทุกข์ ใจมารดาก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย นี่เป็นธรรมดาของผู้เป็นมารดา"

​ มโหสถจึงสรุปว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายคงรู้แล้วว่า หญิงที่ดึงเด็กนั้นไป เป็นผู้กล่าวโกหก เป็นผู้ขโมยเด็ก เขาไม่ใช่มารดาที่แท้จริง**"**

จริงๆ แล้ว แม้มหาชนก็พอจะแยกแยะออกว่า คนไหนเป็นมารดาของเด็ก แต่ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์

​ มโหสถจึงชี้ไปที่นางยักษินี พลางบอกให้มหาชนรู้ว่า “หญิงคนนี้ไม่ใช่เป็นมนุษย์แต่เป็นยักษิณี จะมาแย่งเด็กไปกินเป็นอาหาร สังเกตได้จากลูกนัยน์ตาแดงก่ำแข็งกระด้าง ไม่กะพริบเลย และตัวก็ไม่มีเงา

​ คนอย่างนี้มีที่ไหน มิหนำซ้ำจิตใจยัง ทารุณโหดร้าย เด็กอ่อน เด็กจะเจ็บจะร้องอย่างไรก็ไม่สนใจ เพียงขอให้ได้เด็กไปเท่านั้น มนุษย์แท้จะมีจิตใจอย่างนี้มิได้

​ พลางเอ่ยถามนางยักษ์ว่า "เจ้าเป็นใครอย่าโกหกเรา"

​ นางยักษ์รู้ว่า ไม่สามารถปกปิดอัตภาพของตนได้ จึงต้องเปิดเผยความจริง ว่านางเป็นยักษิณี กำลังแสวงหาเด็กทารกไปเป็นอาหาร

​ มโหสถกุมารจึงถือโอกาสแนะนำสั่งสอน โดยอาศัยความเมตตาเป็นเบื้องหน้าว่า “นางยักษ์เอ๋ย เจ้าไม่รู้ตัว หรือว่า ทำไมต้องเกิดมาเป็นยักษ์ นั่นเป็นเพราะผลปาณาติบาตที่ได้กระทำไว้แต่ชาติปางก่อน ชาตินี้เจ้ายังจะมัวมาทำกรรมอันเป็นบาปหยาบช้าอีกต่อไปทำไม หากเจ้าไม่ยอมข่มใจตน แล้วเมื่อไรเจ้าจะได้พ้นจากกำเนิดอันตํ่าทรามนี้ได้ เจ้าไม่รักตนเองบ้างเลยหรือ”

นางยักษ์ได้ฟังเสียงอันไพเราะที่ประกอบด้วยเมตตากล่าวสอนธรรม รู้สึกสำนึกผิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดความรันทดใจ ในการที่ตนต้องเกิดมาเป็นยักษ์

​ และไม่รู้จะถอนตนออกจากอัตภาพนี้ได้อย่างไร จึงอัดอั้นตันใจร้องไห้ครํ่าครวญ

​ มโหสถเห็นอาการของนางยักษ์ดังนั้น ก็รู้ว่านางรู้สึกสำนึกผิดแล้ว

​ จึงได้แสดงธรรม แนะนำให้นางยักษิณีสมาทานเบญจศีล และกล่าวยํ้าให้รักษาศีลยิ่งชีวิต เพราะศีลจะเป็นเครื่องรักษาคุ้มครองตน อีกทั้งจะเป็นเครื่องนำพาชีวิตให้ล่วงพ้นจากอัตภาพยักษ์ ก้าวไปสู่หนทางสวรรค์ และนิพพานได้

​ จากนั้นก็ให้นางยักษ์กลับไปยังถิ่นของตน

​ เมื่อมารดาของทารกน้อยได้ลูกกลับคืนมาก็ดีใจ ขอบคุณมโหสถ แล้วพาบุตรสุดที่รักกลับบ้านไปด้วยความสวัสดี

​ เรื่องราวนี้ก็ได้ไปถึง พระเจ้าวิเทหราช พระองค์ก็ทรงปรึกษากับท่านเสนกะว่า “เป็นอย่างไรท่านอาจารย์ พ่อมโหสถมีปรีชาญาณยอดเยี่ยมจริงๆ เราพร้อมจะรับตัวมโหสถเข้ามาเป็นราชบัณฑิตแล้วหรือยังล่ะท่านอาจารย์”

​ อาจารย์เสนกะมีอคติ และห่วงลาภ จึงหาเหตุผลมาทัดทานพระราชาอีกจนได้ มโหสถกุมารจึงเป็นเหมือนเพชรในตม ที่ยังไม่มีโอกาสจะฉายแสง

เรื่องราวต่อมา เรื่องมีอยู่ว่า

มีชายหนุ่มเตี้ยแคระ ผิวดำชื่อโคฬกาฬ โคละกาล มีความรักในสาวงาม ชื่อนางทีฆตาลา ชายหนุ่มนี้เป็นคนขี้เหร่ รูปร่างบกพร่อง มิหนำซ้ำทรัพย์สมบัติก็ขาดแคลน

​ แต่ด้วยอานุภาพแห่งความรัก รักใครรักจริง เขาจึงยอมตัวทำงานให้กับบิดามารดาของนางทีฆตาลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน โดยทำข้อตกลงว่าหากทำงานครบจะให้ลูกสาวเป็นค่าตอบแทน

​ ก็สุดแต่จะใช้สอย หนักเอาเบาสู้ ไม่มีบ่ายเบี่ยง ทำอยู่จนครบ ๗ ปี

​ ก็ได้รับค่าจ้างตามความปรารถนา คือ ได้นางมาเป็นคู่ครอง

​ ต่อมาชายหนุ่มคิดถึงพ่อแม่ของตัวเอง เนื่องจากได้จากมาเป็นเวลานานปี เขาปรารถนาจะไปเยี่ยมบ้าน

จึงได้อำลาพ่อตาแม่ยาย และชวนภรรยาสาวออกเดินทางกลับบ้านเกิด

​ ระหว่างทางมีแม่น้ำขวางหน้าอยู่ น้ำในแม่น้ำไม่ลึกนัก พอเดินข้ามได้ แต่ทั้งสองไม่กล้าเดินข้ามเพราะว่ายน้ำไม่เป็น กลัวว่าน้ำเชี่ยวจะพัดตัวเองจมลงในแม่น้ำ

​ จึงยืนรอคอยหาวิธีการที่จะข้ามแม่น้ำนั้น

​ ขณะนั้นเอง มีชายเข็ญใจคนหนึ่งชื่อ ทีฆปิฏฐิ เดินเลียบมาตามริมฝั่งแม่น้ำ เห็นสามีภรรยายืนรออยู่ สังเกตดูท่าทางก็รู้ว่า เป็นคนกลัวน้

​ จึงนึกในใจว่า “คงเป็นโอกาสดีของเราที่จะได้ค่าจ้าง”

​ พอชายเข็ญใจมองเห็นภรรยาสาวสวยของชายหนุ่มขี้เหร่ ชายเข็ญใจก็หลงใหลใคร่จะได้นางเป็นภรรยา

​ ได้แสร้งบอกว่า น้ำในแม่น้ำนี้ลึกมาก ถ้าท่านทั้งสองอยากข้ามไป เราจะอาสาช่วยพาท่านข้ามไปทีละคน

​ ทั้งสองตกลงกันว่า จะให้ภรรยาสุดสวยข้ามไปก่อน แล้วค่อยย้อนมารับสามีขี้เหร่โคฬกาฬ

​ ชายเข็ญใจให้นางภรรยาขึ้นขี่คอของตน พร้อมทั้งขนเสบียงอาหารไปด้วย

​ เมื่อเดินลงสู่แม่น้ำ ยิ่งห่างฝั่งก็แกล้งย่อตัวลง เพื่อแสดงให้สามีขี้เหร่เห็นน้ำลึกมาก ทำให้โคฬกาฬเกิดความหวาดกลัวยิ่งไปอีก

​ พอจังหวะเหมาะเจาะ เมื่อถึงกลางแม่น้ำ ไม่มีใครได้ยิน นอกจากสองเรา ชายเข็ญใจก็เอ่ยเกี้ยวพาราสี ว่า "การอยู่คู่กันของชายหญิง เป็นวิสัยธรรมดาของสัตวโลก เหมือนแมลงภู่คู่กับดอกไม้" จากนั้นทั้งสองเริ่มสนทนากันด้วยความสนิทสนม ชายเข็ญใจเอ่ยขึ้นว่า “นางผู้เจริญใจ คนอย่างชายขี้เหร่นั้น นอกจากจะไม่หล่อแล้วยังทำให้ความสวยงามของนางต้องอับเฉาลงแล้ว และยังไม่สามารถบำรุงบำเรอเธอได้สมกับความสวยของเธอเลย เธอไม่ควรจะเป็นคู่กับเขาเลย”

​ เขาพูดเกลี้ยกล่อมไปเรื่อยๆ หมายจะได้นางมาเป็นภรรยา

​ ฝ่ายนางทีฆตาลาฟังแล้วเกิดคล้อยตามคำของชายเข็ญใจ

เมื่อข้ามถึงฝั่งก็ออกเดินทางต่อไป โดยไม่ได้สนใจสามีของตนเลย

​ สามีขี้เหร่ เห็นดังนั้น จึงเกิดความแค้นจนลืมกลัวน้ำไปเสียสนิท วิ่งกระโจนลงไปในแม่น้ำตามแรงความโกรธ

​ เมื่อถึงกลางแม่น้ำจึงรู้ว่าโดนหลอก เพราะแม่น้ำตื้นนิดเดียว ครั้นวิ่งขึ้นฝั่งก็ไล่กวดตามคนทั้งสองได้ทัน ได้ร้องตะโกนบอกให้หยุด แล้วขอภรรยาคืน

​ แต่ต่างคนต่างไม่ยอมกัน ได้แต่ทะเลาะกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินมาถึงศาลาของมโหสถ

​ มโหสถให้คนไปเรียกทั้งสามคนเข้ามาในศาลา สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น

​ มโหสถสามารถเข้าใจเรื่องราวได้อย่างแจ่มแจ้ง เหมือนไปพบเห็นเหตุการณ์มาด้วยตาตนเอง

​ แต่เพื่อจะแสดงปัญญาให้มหาชนได้เห็น จึงบอกว่าจะช่วยวินิจฉัยให้อย่างยุติธรรม

​ จากนั้นก็ให้พาคนทั้งสาม ไปรออยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งห่างจากที่วินิจฉัย และให้แยกกันอยู่คนละห้อง

​ โดยเรียกนายคนเข็ญใจ มือที่สามที่จะแย่งภรรยาเขา เข้ามาก่อน

​ มโหสถก็ตามว่า ภรรยาของเจ้าชื่ออะไร ชายเข็ญใจยังไม่เคยถามชื่อของนางเลบ จึงตอบส่งเดชไป

​ เมื่อถามถึงชื่อของพ่อแม่ฝ่ายหญิง ก็อ้ำๆอึ้งๆ แล้วตอบโกหกไป

​ มโหสถให้คนรับใช้คนหนึ่งจดถ้อยคำของทีฆปิฏฐิไว้เป็นหลักฐาน

​ แล้วให้เขาออกไปรอข้างนอก จากนั้นให้เรียกโคฬกาฬ สามีขี้เหร่เข้ามาถามแบบเดียวกัน

​ นายโคฬกาฬตอบได้คล่องเลย รู้ได้ทันทีว่าเป็นสามีตัวจริง และให้คนจดชื่อไว้ แล้วให้ออกไปรออยู่ที่เดิม

​ จากนั้นได้เรียกให้นางทีฆตาลาเข้ามาถามถึงชื่อของสามีและบิดามารดาของนาง ปรากฎว่า นางตอบโกหกส่งเดชไป

​ หลังจากการไต่สวน มโหสถจึงลงความเห็นว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ วิสัยหญิงชายที่เป็นสามีภรรยากัน ต้องรู้จักวงศ์สกุลของแต่ละฝ่าย

​ แสดงว่านางทีฆตาลาคิดจะนอกใจสามีจึงโกหก

​ ส่วนนายคนเข็ญใจนั้นไม่รู้จริงๆจึงโกหก

​ ฉะนั้นนายโคฬกาฬก็คือ สามีของนางทีฆตาลาอย่างแน่นอน”

​ ชายเข็ญใจนั้นหมดทางที่จะโต้แย้ง ยอมสารภาพว่าตัวเองเป็นตัวปลอม

นายสามีขี้เหร่โคฬกาฬจึงได้ภรรยาของตนคืนมา ด้วยการวินิจฉัยอันเที่ยงธรรมของมโหสถกุมาร

​ โคฬกาฬดีใจกล่าวชมมโหสถว่า “พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เทพบุตรจุติมาจากฟากฟ้า ลงมากำเนิดในเมืองมนุษย์เป็นแน่ หากมิได้พ่อบัณฑิตแล้วไฉนเลยข้าพเจ้าจะได้ภรรยาคืน ขอให้พ่อจงจำเริญๆ เป็นมิ่งขวัญของประชาชนชั่วกาลนานเทอญ”

​ แล้วอำลามโหสถ เพื่อพาภรรยาไปยังถิ่นฐานของตน

​ มโหสถบัณฑิตได้อบรมภรรยาของนายโคฬกาฬว่า ไม่ควรนอกใจสามี ควรให้ความเคารพบูชาสามี เพราะโทษของการนอกใจนั้น มีแต่นำทุคติมาให้

​ และได้สั่งสอนชายเข็ญใจ ว่า “เป็นชายมีร่างกายสมประกอบ ไม่ควรแย่งคู่ครองเขา จะทำให้ผิดศีล และเป็นเหตุให้ครอบครัวเขาแตกแยก ตนเองจะไม่ได้รับความสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต จงเลิกทำอย่างนี้เสียเถิด” ครั้นตักเตือนแล้วก็ปล่อยตัวไป

​ นี่เป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงปัญญาอันสุขุมลุ่มลึกของพระโพธิสัตว์ของเรา จะเห็นได้ว่า ผู้ฉลาดในการวินิจฉัยต้องรู้จัก พิจารณาวิเคราะห์ข้อมูล ช่างสังเกตและไม่มีอคติ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงจะดำรงความยุติธรรมไว้ได้

=================

อีกเรื่อง เรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระทัย ใฝ่ฝันถึงมโหสถบัณฑิตมาตลอด ยิ่งทรงสดับรายงานการวินิจฉัยคดีสามีภรรยาเมื่อคราวที่แล้ว ยิ่งทรงประทับใจ อยากจะเห็นมโหสถ

​ แต่เพราะคำทักท้วงของท่านเสนกะยังคงมีอำนาจ ที่จะยับยั้งพระองค์ได้

​ ส่วนเหตุการณ์ที่หมู่บ้านยวมัชฌคามนั้น มโหสถกุมารได้แสดงสติปัญญาของตนเสมอ บ่อยครั้งได้เป็นเหมือนผู้พิพากษา คอยวินิจฉัยคดี และตัดสินปัญหาของชาวบ้านที่เกิดขึ้น

​ อย่างเช่นวันหนึ่ง มีหนุ่มชาวนาผู้ยากจนได้ไปซื้อโคจากบ้านอื่น เพื่อนำมาไถนา ครั้นรุ่งเช้าได้นำโคออกไปหากินตามปกติ

​ ตกกลางวัน เขาเผลอนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ ทำให้โจรคนหนึ่งแอบมาขโมยโคไป

​ หนุ่มชาวนาตื่นขึ้นมาไม่เจอโคของตน ก็รีบวิ่งออกติดตามรอยเท้าโคไป เมื่อตามไปพบโจรหัวขโมย ก็ร้องบอกโจรให้นำโคคืนมา ถ้าเอามาคืนจะไม่เอาเรื่อง

​ แต่เหตุการณ์กลับตรงข้าม เพราะโจรอ้างว่าโคนี้เป็นของเขาเอง

​ เมื่อไม่ยอมกันทั้งสองเกิดการทะเลาะวิวาท ชาวบ้านจึงพามาหามโหสถให้ช่วยตัดสินว่า ใครเป็นเจ้าของโคตัวนี้กันแน่

​ มโหสถบัณฑิตเห็นกิริยาของคนทั้งสองก็รู้ว่า คนไหนเป็นโจร คนไหนเป็นเจ้าของโค

​ แต่ถึงจะรู้ก็ต้องสอบถามไปตามลำดับ ให้ชาวบ้านที่มารับฟังได้เห็นจริงในการตัดสินด้วย

ชาวบ้านช่วยกันถามว่า ซื้อโคมาจากไหน และเหตุเกิดขึ้นที่บริเวณใด เจ้าของโคได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทุกอย่าง

ส่วนโจรกุเรื่องขึ้นมาทั้งหมดเป็นตุเป็นตุ ฟังดูสมเหตุสมผลเช่นกัน

​ จนพวกชาวบ้านวินิจฉัยไม่ออกว่า ใครเป็นเจ้าของโคตัวนี้กันแน่

​ …ถ้าเป็นเราเจอแบบนี้….

​ มโหสถบัณฑิต ถามเพียงประโยคเดียวว่า โคเหล่านี้ท่านให้กินอะไร ให้ดื่มอะไร โจรตอบว่า “ข้าพเจ้าให้โคดื่มยาคู ให้กินงา แป้งและขนมอย่างดีเลย ผมนี่เลี้ยงโคดีมาก”

​ ฝ่ายเจ้าของโคตอบว่า “คนจนอย่างข้าจะได้อาหารดีๆ มาจากไหน ข้าพเจ้าให้โคกินหญ้ากินน้ำเท่านั้นแหละ

​ มโหสถบัณฑิตได้ฟังคำของคนทั้งสองแล้ว จึงให้คนนำใบประยงค์มา ตำและขยำด้วยน้ำให้โคดื่ม

​ โคก็อาเจียนออกมาเป็นหญ้า

​ มโหสถบัณฑิตเห็นเช่นนั้น ก็ถามโจรว่า "เจ้าเป็นโจรใช่หรือไม่"

​ โจรยอมรับผิดโดยดี ครั้นโจรรับสารภาพแล้ว มโหสถจึงให้โอวาทว่า “จำเดิมแต่นี้ไป เจ้าอย่าทำอย่างนี้อีก จงประกอบแต่สัมมาอาชีวะ ทำงานสุจริต จะได้ไม่ต้องเป็นบาปเป็นกรรม ตกนรกหมกไหม้” จากนั้นก็ให้สมาทานศีล ๕ และปล่อยตัวโจรคนนั้นไป

​ ครั้นพระราชารู้ข่าว ทรงปีติโสมนัสในสติปัญญาของมโหสถ ได้ตรัสถามเสนกะบัณฑิตว่า “ท่านอาจารย์เสนกะ เราควรนำบัณฑิตนั้นมาได้หรือยัง”

​ เมื่อเสนกะทูลว่า “ข้าแต่มหาราช คดีเรื่องโค ใครๆ ก็วินิจฉัยได้ บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ขอให้ทรงรอไปก่อนพระราชาจึงทรงได้แต่นิ่ง

=================

เรื่องก็มีอีกดังเช่นวันหนึ่ง

​ มีหญิงเข็ญใจคนหนึ่ง ถอดและวางเครื่องประดับไว้บนผ้าสาฎก แล้วเดินลงไปล้างหน้าในสระน้ำ

​ หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งเห็นเครื่องประดับนั้น เกิดความโลภ จึงหยิบเครื่องประดับขึ้นชมแล้วลองสวมใส่ดู และรีบเดินจากไป

​ ฝ่ายหญิงเจ้าของเห็นดังนั้น ก็รีบขึ้นจากสระน้ำวิ่งตามไป ร้องบอกให้เอาเครื่องประดับของตนคืนมา แต่หญิงรุ่นสาวตู่ว่า ฉันเป็นเจ้าของเครื่องประดับนี้ จึงเกิดการทะเลาะกันขึ้น

​ ฝ่ายมโหสถบัณฑิตกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนเด็กๆ ได้ยินเสียงหญิงสองคนทะเลาะกัน

​ จึงให้เรียกเข้ามาสอบถามต้นสายปลายเหตุ

เพียงแค่สังเกตกิริยาอาการและคำพูด ก็รู้ได้ทันทีว่าคนไหนเป็นเจ้าของเครื่องประดับ

​ แต่ก็ถามหญิงที่เป็นผู้ขโมยว่า “ท่านย้อมเครื่องประดับนี้ด้วยของหอมอะไร”

​ หญิงวัยรุ่นที่เป็นขโมยตอบว่า “ข้าพเจ้าย้อมด้วยของหอมทุกอย่าง”

​ จากนั้น มโหสถบัณฑิตจึงถามหญิงเจ้าของ นางตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ จึงย้อมด้วยดอกประยงค์เท่านั้น”

มโหสถบัณฑิตให้บริวารจดจำคำให้การของหญิงทั้งสอง และให้นำเครื่องประดับไปแช่น้

​ จากนั้นให้เรียกคนที่ชำนาญเรื่องกลิ่นมาสูดดม เพื่อพิสูจน์ว่าเครื่องประดับนี้เป็น กลิ่นอะไร

​ เมื่อผู้ชำนาญพิสูจน์กลิ่น ก็รู้ได้ทันทีว่า เป็นกลิ่นดอกประยงค์ จึงรายงานมโหสถบัณฑิต

​ จากนั้นมโหสถบัณฑิตได้ซักไซ้ไล่เลียง จนหญิงวัยรุ่นยอมรับว่าตนเป็นคนขโมย

​ จากนั้นมโหสถให้หญิงวัยรุ่น กล่าวขอโทษหญิงที่เป็นเจ้าของ จะได้ไม่มีเวรไม่มีกรรมต่อกัน

​ พร้อมทั้งให้โอวาทว่า **"**ให้ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี จะได้สบายใจ ไม่ทุกข์ร้อนใจในภายหลัง อย่าเป็นคนลักขโมย เพราะจะนำไป สู่อบายภูมิ ควรแสวงหาทรัพย์สมบัติมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” เมื่อสั่งสอนแล้วก็ปล่อยตัวนางไป

​ =============

​ ==============

เรื่อง มีชายหนุ่มคนหนึ่งขับรถออกจากบ้านเพื่อไปล้างหน้า

​ ขณะนั้นท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า อยากจะประกาศความที่มโหสถมีปัญญามากให้มหาชนได้รับทราบ

​ จึงแปลงกายเป็นมนุษย์เสด็จมาที่สระโบกขรณี

​ ขณะที่ชายหนุ่มชะล่าใจ มัวสาละวนอยู่กับการล้างหน้าอยู่ในสระ (สงสัยล้างหน้าสมัยนั้นคงมีรายละเอียดเยอะ)

​ มนุษย์แปลกกายได้ขึ้นรถขับไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ายหนุ่มเจ้าของรถซึ่งยังอาบน้ำล้างหน้ายังไม่เสร็จ ครั้นเห็นคนมาขโมยรถ ก็รีบขึ้นจากสระและวิ่งออกติดตามไป พลางตะโกนร้องบอกให้หยุดรถ

แต่ท้าวสักกะไม่ยอมคืนรถ และอ้างว่าเป็นเจ้าของรถ เมื่อตกลงกันไม่ได้ ชาวบ้านที่เดินสวนทางมาเห็นเข้า จึงบอกให้ทั้งสองไปหามโหสถบัณฑิต เพื่อช่วยตัดสินปัญหาให้

​ ครั้นไปถึงศาลาหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่วินิจฉัยคดี เนื่องจากมโหสถเป็นคนมีไหวพริบ รู้จักสังเกตคน เพียงแค่มองดูเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่า บุรุษผู้นี้เป็นอมนุษย์ เพราะปราศจากความกลัวเกรง อีกทั้งนัยน์ตาก็ไม่กะพริบ

​ ส่วนชายหนุ่มคนนี้เป็นมนุษย์ธรรมดา ต้องเป็นเจ้าของรถอย่างแน่นอน

​ ถึงกระนั้น มโหสถต้องการให้มหาชนยอมรับในคำวินิจฉัย

​ จึงเริ่มไต่สวนคดี ด้วยการถามถึงเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท

​ พอฟัง ก็รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงบอกว่า เราจักขับรถไป ท่านทั้งสองจงจับท้ายรถ ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของรถ จงอย่าปล่อยเด็ดขาด

​ จากนั้นมโหสถให้บริวารคนหนึ่งขับรถไป คนทั้งสองรีบไปจับท้ายรถวิ่งตามไป ชายหนุ่มเจ้าของรถตามไปได้สักพักหนึ่งก็เหน็ดเหนื่อยจึงจำเป็นต้องปล่อยมือ

ส่วนท้าวสักกเทวราชนั้นวิ่งไปกับรถ โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่นิดเดียว

​ เมื่อมโหสถบัณฑิต ประกาศว่า “บุรุษนี้ วิ่งไปกับรถแล้วยังกลับมากับรถได้อีก นับเป็นคนผิดมนุษย์ทั่วไป หยาดเหงื่อแม้แต่สักนิด ลมหายใจเข้าออกก็ไม่มี ไม่มีความสะทกสะท้านเลย ประดุจผู้เป็นจอมแห่งบุรุษทั้งหลาย แสดงว่าท่านผู้นี้ ไม่ใช่เจ้าของรถแน่นอน แต่เป็นท้าวสักกเทวราชปลอมตัวมา”

​ เมื่อท้าวสักกเทวราช เมื่อถูกจับได้ ก็เลยเปล่งรัศมีสว่างไสวรุ่งโรจน์ ตรัสชมเชยมโหสถบัณฑิตว่า "เธอวินิจฉัยได้ยอดเยี่ยม ในโลกนี้จะมีบุคคลผู้เสมอด้วยปัญญาของมโหสถหามีไม่" จากนั้นก็เสด็จกลับยังทิพยสถานดาวดึงส์

​ ฝ่ายอำมาตย์ของพระราชายิ่งอยู่นานวันเข้า ก็ยิ่งอัศจรรย์ใจ ได้ไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชด้วยตนเอง กราบทูลเรื่องพิสดารที่เกิดขึ้นให้ทรงสดับว่า "มโหสถกุมารวินิจฉัยคดีได้ยอดเยี่ยมอย่างนี้ แม้ท้าวสักกเทวราชก็ยังชื่นชม เหตุไรพระองค์จึงไม่ทรงทราบถึงความสามารถที่พิเศษของมโหสถ"

​ เมื่อพระราชาตรัสถามเสนกะ

​ แต่อาจารย์เสนกะ กลัวเสียลาภสักการะ อาจารย์เลยบอกว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระองค์โปรดรอไปก่อน พวกเราควรทดลองเขาดูต่อไป แล้วจึงจะรู้ว่ามโหสถเป็นบัณฑิตที่ แท้จริงหรือไม่”

​ พระราชาทรงสดับเช่นนั้นก็ทรงคล้อยตาม

มีอีกเหตุการณ์หนึ่ง พระเจ้าวิเทหราช ให้นำท่อนไม้ตะเคียนมา และตัดเพียง ๑ คืบ ให้ช่างกลึงจนมีขนาดเท่ากัน แล้วส่งไปในหมู่บ้านของมโหสถอยู่ พร้อมพระดำรัสว่า “ชาวบ้านจงแจ้งว่า ท่อนไม้ตะเคียนนี้ ด้านไหนเป็นโคน ด้านไหนเป็นปลาย ถ้าไม่มีใครรู้ จะถูกปรับ **,****๐๐๐** **กหาปณะ**” (พระราชาว่างงาน)

​ ฝ่ายชาวบ้านเมื่อมาประชุมกัน ต่างไม่มีใครรู้ จึงมาขอความช่วยเหลือจากมโหสถบัณฑิต

​ มโหสถคิดว่า “พระราชาทรงประสงค์อยากจะทดลองภูมิปัญญาของเรา”

​ เพียงใช้มือจับท่อนไม้ตะเคียนด้วยมือเท่านั้น ก็รู้ได้ว่า ข้างไหนเป็นโคนข้างไหนเป็นปลาย

​ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่ท่านก็ให้นำภาชนะใส่น้ำมา เพื่อจะได้อธิบายให้มหาชนรู้โดยทั่วหน้ากัน

​ โดยให้เอาด้ายผูกตรงกลางของท่อนไม้ ถือปลายด้ายไว้ จากนั้นให้วางท่อนไม้ตะเคียนบนน้ำ ทันทีที่วางลงในน้ำ ปลายด้านหนึ่งก็จมลงก่อน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งก็เอียงขึ้นมา

​ มโหสถได้ถามมหาชนว่า “ธรรมดาต้นไม้ หนักโคน หรือว่าหนักปลาย”

​ มหาชนตอบว่า “โคนหนัก”

​ มโหสถ จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ด้านที่จมลงก่อนเป็นโคน ส่วนด้านจมทีหลังก็เป็นปลาย”

​ ชาวบ้านดีใจมากที่จะไม่ถูกปรับ รีบส่งข่าวกราบทูลพระราชา

​ ต่อมาพระเจ้าวิเทหราชให้นำกระโหลกศีรษะ ๒ กระโหลก

​ คือ ของหญิงและของชาย แล้วส่งไปให้ชาวบ้านทำนายว่า ศีรษะอันไหนเป็นหญิง อันไหนเป็นชาย ถ้าหากไม่รู้จะถูกปรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ

​ ชาวบ้านไม่รู้จึงมาถามมโหสถ

​ พอมโหสถเห็นเท่านั้นก็รู้ได้ทันที เพราะท่านสังเกตแสกกระโหลกศีรษะ กระโหลกศีรษะของผู้ชายจะมีแสกตรง แสกกระโหลกศีรษะของหญิงจะคดเล็กน้อย ฝ่ายชาวบ้านได้ส่งข่าวกราบทูลพระราชา เมื่อตอบถูกจึงไม่ถูกปรับ

​ วันต่อมา พระเจ้าวิเทหราชให้นำงูสองตัว ส่งไปให้ชาวบ้านทำนายว่า ตัวไหนเป็นตัวผู้ ตัวไหนเป็นตัวเมีย

​ ชาวบ้านไม่รู้จึงถามมโหสถบัณฑิต ทันทีที่มโหสถเห็นก็รู้ว่า หางของงูตัวผู้ใหญ่กว่า ส่วนหางของงูตัวเมียเรียวเล็กกว่า

​ หัวของงูตัวผู้ ใหญ่กว่าของงูตัวเมีย

​ นัยน์ตาของงูตัวผู้ ใหญ่กว่านัยน์ตาของ งูตัวเมีย

​ ลวดลายของงูตัวผู้ติดต่อกัน ส่วนลวดลายของงูตัวเมียขาดเป็นห้วงๆ

ครั้นพระราชาได้สดับเช่นนั้น ทรงชื่นชมโสมนัสในความเป็นผู้มีสติปัญญาอันเฉียบแหลมของมโหสถ

จึงตัดสินพระทัยว่า จะต้องนำมโหสถเข้ามารับราชการบ้านเมือง ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นี่แหละ

แต่เรื่องนี้ก็ต้องผ่านการทดสอบของท่านอาจารย์เสนกะก่อน

​ ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชนั้นทรงส่งข่าวไปให้ชาวบ้านยวมัชฌคาม ตามคำแนะนำของมหาอำมาตย์เสนกะอีกว่า

=============

=============

=============

​ ให้ชาวบ้านส่งโคตัวผู้อันเป็นมงคล ขาวปลอดทั้งตัว มีเขาที่เท้า มีโหนกที่หัว ร้องไม่เกิน ๓ เวลา มาถวายพระองค์ ถ้าไม่ส่งมาจะถูกปรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ

​ ชาวบ้านไม่รู้ว่าโคมงคลนั้นเป็นอย่างไร ไม่รู้จะไปหาที่ไหน หมดปัญญาไปตามๆ กัน

​ เมื่อไม่รู้จะพึ่งใคร จึงไปถามมโหสถบัณฑิต

​ มโหสถบัณฑิตบอกว่า “ท่านทั้งหลาย อย่าได้หวาดกลัวไปเลย โคมงคลนั้นไม่ใช่สัตว์ที่หาได้ยากอย่างที่คิด พระราชาทรงรับสั่งให้นำไก่ขาวปลอดไปถวายนั่นเอง

​ ไก่นั้นชื่อว่ามีเขา ที่เท้า หมายถึงมีเดือยที่เท้า

​ ชื่อว่ามีโหนกที่หัวเพราะมีหงอนที่หัว

​ ที่ว่าร้องไม่เกิน ๓ เวลา เพราะขัน ๓ เวลา ฉะนั้น

​ ท่านทั้งหลาย จงส่งไก่มีลักษณะอย่างนี้ไปถวายเถิด”

​ เมื่อชาวบ้านนำไก่ขาวไปถวาย พระราชาก็ทรงปลื้มปีติยินดีที่มโหสถแก้ไขปริศนาของพระองค์ได้

​ ครั้นหยุดช่วงการทดลองสติปัญญาของมโหสถไปได้ไม่นาน

​ พระราชาทรงส่งดวงแก้วมณี ที่ท้าวสักกเทวราชทรงประทานแก่พระเจ้ากุสราช ซึ่งด้ายที่ร้อยแก้วมณีเส้นเก่านั้นขาดไป และไม่มีใครสามารถเอาด้ายเส้นเก่าออกแล้วร้อยด้ายเส้นใหม่เข้าไปได้

​ ทรงรับสั่งว่า “ให้ชาวบ้านยวมัชฌคามช่วยกันนำด้ายเส้นเก่าออกจากดวงแก้วมณีนี้ แล้วร้อยเส้นใหม่เข้าไปแทน ถ้าร้อยไม่ได้จะถูกปรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ”

​ เมื่อชาวบ้านทำไม่ได้ ต้องร้อนถึงมโหสถบัณฑิต

​ มโหสถได้ปลอบใจชาวบ้านว่า อย่าได้วิตกไปเลย เรื่องนี้ไม่เห็นยากอะไร ให้นำน้ำผึ้งมาทาปากรูทั้งสองด้านของแก้วมณี แล้วนำปลายขนสัตว์ที่ฟั่นเป็นด้ายทาน้ำผึ้งสอดเข้าไปในรูแก้วมณี จากนั้นให้นำไปวางไว้ใกล้รังมดแดง มดแดงจะพากันออกจากรังมากินด้ายเส้นเก่า

​ เมื่อกินหมดแล้วก็จะไปคาบปลายด้ายขนสัตว์เส้นใหม่ลากไปอีกด้านหนึ่งของ ดวงแก้วมณี ชาวบ้านได้ทำตามคำ ของมโหสถบัณฑิต เมื่อดวงแก้วมณีได้ร้อยเรียบร้อยแล้ว ได้นำไปถวายพระราชา พระองค์ทอดพระเนตรเห็น รู้สึกอัศจรรย์ใจ ถึงกับตรัสถามว่า ใครเป็นผู้แนะนำวิธี เมื่อรู้ว่าเป็นมโหสถบัณฑิต ก็ทรงปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมา พระราชามีพระราชประสงค์จะทดลองมโหสถอีก จึงตรัสสั่งให้ราชบุรุษนำโคตัวผู้ไปกินขนมกุมมาสจนเต็มท้อง แล้วรับสั่งให้ชำระล้างเขาทั้งสองให้สะอาด จากนั้นให้เอาน้ำมันมาทา เอาน้ำขมิ้นรดตัว และส่งไปที่หมู่บ้านยวมัชฌคามพลางรับสั่งว่า

​ “ได้ยินว่าพวกท่านเป็นนักปราชญ์ โคตัวผู้มงคลของพระราชาตัวนี้ตั้งครรภ์ ขอท่านทั้งหลายจงให้โคตัวผู้นี้ตกลูก และส่งมาให้เราพร้อมกับลูกของมัน**"**

​ พวกชาวบ้านรับราชโองการแล้ว ต่างระดมความคิด ปรึกษาหารือกันก็ไม่เห็นทางออก สุดท้ายต้องพึ่งมโหสถอีกเช่นเคย

​ มโหสถบัณฑิตพิจารณาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ได้แนะนำชาวบ้านว่า เรื่องนี้ต้องย้อนปัญหาด้วยการส่งตัวแทนที่มีความกล้าหาญ กล้ากราบทูลสนทนากับพระราชา

​ เมื่อคัดเลือกตัวแทนได้แล้ว มโหสถให้สยายผมไว้ข้างหลัง แล้วบอกให้เดินร้องไห้ครํ่าครวญอยู่ที่บริเวณหน้าประตูพระราชนิเวศน์ เมื่อมีใครถามก็อย่าตอบยกเว้นพระราชา ให้ร้องไห้ครํ่าครวญไปเรื่อยๆ

​ ครั้นชายหนุ่มผู้กล้าหาญรับฟังกุศโลบาย จากมโหสถบัณฑิตแล้ว ก็ทำตามทุกประการ เมื่อพระราชาตรัสเรียกมาถาม ถึงสาเหตุที่ร้องไห้ เขากราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ บิดาของข้าพระองค์ไม่อาจจะคลอดบุตร นี้ก็ครบ วันแล้ว ขอสมมติเทพ ทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ โปรดทรงทำอุบายการคลอดบุตร แก่บิดาของข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

​ พระราชาตรัสว่า “เจ้าคนโง่เอ๋ย จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ชายจะคลอดลูก****”

​ หนุ่มผู้กล้านั้นกราบทูลขึ้นทันทีว่า “ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อเป็นไปไม่ได้ แล้วชาวบ้านยวมัชฌคามจะทำโคตัวผู้ให้คลอดลูกได้อย่างไร พระเจ้าข้า**"**

​ พระราชาทรงสดับถ้อยคำการย้อนปัญหาเช่นนั้น ตรัสถามว่า "ใครเป็นคนคิดแก้ปัญหาให้" เมื่อรู้ว่าเป็นมโหสถบัณฑิต

​ จึงทรงโปรดปรานในตัวมโหสถมากขึ้นเป็นทวีคูณ

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า จักทดลองปัญญาของมโหสถอีกสักสองครั้ง หากมโหสถสามารถแก้ปัญหา และ ปมปริศนาของพระองค์ได้ ก็จะนำมโหสถเข้ามาในราชสำนัก

​ วันต่อมาพระองค์จึงได้ส่งข่าวไปว่า ชาวบ้านยวมัชฌคาม จงหุงข้าวที่ประกอบด้วยองค์แปด และให้นำมาถวายในราชสำนัก

​ องค์แปดนั้น คือ ไม่ให้หุงด้วยข้าวสาร ไม่ให้หุงด้วยน้ำ ไม่ให้หุงด้วยหม้อข้าว ไม่ให้หุงด้วยเตา ไม่ให้หุงด้วยไฟ ไม่ให้หุงด้วยฟืน ไม่ให้หญิงหรือชายยกมา ไม่ให้นำมาส่งตามหนทาง หากชาวบ้านส่งมาไม่ได้ จะปรับสินไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ

​ ชาวบ้านได้รับราชโองการเช่นนี้ ไม่สามารถแก้ปมปริศนาของพระราชาได้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

​ เรื่องก็ไปถึงมโหสถเช่นเคย มโหสถบัณฑิตจึงปลอบใจชาวบ้านว่า อย่ากลัวไปเลย วิธีแก้ปัญหาของพระราชามีอยู่ว่า

​ ให้ท่านทั้งหลายหุงด้วยปลายข้าว เพราะปลายข้าวไม่ชื่อว่าข้าวสาร แม้พระราชาจะไม่ให้หุงด้วยน้ำตามปกติ ก็ให้เอาน้ำค้างยามเช้ามาหุงแทน เมื่อไม่ให้หุงด้วยหม้อข้าว ก็จงใช้ภาชนะดินใหม่มาหุงแทน

​ ให้ใช้ตอไม้ตั้งภาชนะแทนเตาหุง พระราชาไม่ให้ใช้ไฟตามปกติ ก็ให้ใช้ไฟที่เกิดจากไม้สีกันมา จากนั้นให้หุงด้วยใบไม้แทนการให้ฟืน เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่า หุงข้าวตามที่ทรงรับสั่งนั่นเอง

​ เมื่อหุงเสร็จแล้ว ให้ท่านทั้งหลายบรรจุในภาชนะใหม่ ผูกด้วยด้ายประทับตรา อย่าให้หญิงหรือชายยกไป ให้กะเทยยกไปแทน

​ ให้เดินถือไปนอกเส้นทาง เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าละหนทางใหญ่

​ การหุงข้าวด้วยองค์ประกอบ ๘ อย่าง จึงเป็นอันสำเร็จ

​ เมื่อชาวบ้านได้รับคําแนะนำ รีบจัดแจง ตามที่มโหสถแนะนำทุกอย่าง

​ พระราชาทอดพระเนตรเห็นสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาแสดง จึงตรัสถามว่า ปัญหานี้ใครเป็นคนแก้ ครั้นรู้ว่าเป็นมโหสถ ก็ทรงโปรดปรานมากยิ่งขึ้น

​ วันต่อมา พระราชา จะ ทดลองมโหสถบัณฑิตว่า พระราชาใคร่จะทรงเล่นชิงช้าห้อยด้วยเชือกทราย เนื่องจากเชือกทรายเก่าขาดเสียแล้ว จึงให้ชาวบ้านช่วยกันฟั่นเชือกทรายเส้นหนึ่งมาถวาย ถ้าส่งมาไม่ได้ จะปรับสินไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ

​ ชาวบ้านรับพระบัญชาจากพระราชา ก็รีบแจ้งมโหสถ บัณฑิต มโหสถบัณฑิตคิดว่า “เรื่องนี้ต้องย้อนปัญหา เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีชิงช้าที่ทำด้วยเชือกทราย

​ จึงให้ชาวบ้านไปหาพระราชา และกราบทูล ว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ชาวบ้านไม่รู้ว่า ต้องการขนาดของเชือกทรายเล็กหรือใหญ่เท่าไร ขอสมมติเทพโปรดให้ส่งท่อนเชือกทรายเส้นเก่าสักคืบหนึ่งหรือสี่นิ้วมาให้ดูพอ เป็นตัวอย่าง พวกชาวบ้านเห็นขนาดของเชือกทรายนั้นแล้ว จึงจะฟั่นมาถวายได้**"**

​ พระราชาทรงรับสั่งว่า “เชือกทราย ในพระวังของเราไม่เคยมีแต่ไหนแต่ไรมา เราไม่มีแบบให้พวกท่านดูหรอก**"**

​ ตัวแทนชาวบ้านจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช เมื่อเชือกทรายตัวอย่างยังไม่มี ไฉนชาวบ้าน ยวมัชฌคามจะทำได้พระเจ้าข้า”

​ ครั้นพระราชาทรงทราบว่า มโหสถบัณฑิตเป็นผู้แนะวิธีการแก้ปัญหา ทรงปีติโสมนัสมาก

​ ตรัสถามเสนกะอาจารย์ว่า “เราควรนำมโหสถบัณฑิต มายังราชสำนักได้หรือยัง”

​ อาจารย์เสนกะกราบทูลด้วยความตระหนี่ในลาภสักการะว่า “บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ขอได้ทรงรอไปก่อนพระเจ้าข้า”

​ พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระดำริว่า “มโหสถบัณฑิตแก้ปัญหาถูกใจเรายิ่งนัก สามารถแก้ปัญหาที่ลึกลับ และยังย้อนปัญหาได้ถึงปานนี้ ดุจการพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าทีเดียว”

​ เมื่อทรงดำริถึงปัญญาอันเฉียบแหลมของมโหสถเช่นนี้ จึงมีพระราชประสงค์ให้นำมโหสถเข้ามาสู่ราชสำนัก ถึงขนาดทรงตัดสินพระทัยจะเสด็จไปทรงรับด้วยพระองค์เอง

​ อาจารย์เสนกะเห็นว่า ไม่อาจทูลทัดทานได้อีกต่อไป จึงแสร้งทำเป็นเห็นดีด้วย

​ แต่ก็ไม่วาย อาจารย์เสนกะแนะนำว่า “ขอพระองค์อย่าเสด็จไปเองเลย พระเจ้าข้า เพียงแต่ให้ส่งทูตไปหามโหสถ และให้มีราชโองการไปว่า

​ เธอจงส่งม้าอัสดร(ม้าเทพเจ้า) หรือม้าตัวประเสริฐธรรมดา

​ ถ้าเธอจักส่งม้าอัสดรมา เธอจงมาเอง

​ แต่เมื่อจะส่งแต่ม้าตัวประเสริฐมา จงพาพ่อของเธอมาด้วย”

​ พระราชาทรงสดับแล้ว ก็เห็นชอบด้วย จึงส่งราชทูตไปเชิญมโหสถเข้าวัง

​ มโหสถบัณฑิตได้ปรึกษากับบิดาว่า “เมื่อไปอย่าไปมือเปล่า โบราณว่า ไปเฝ้าพระราชา ไปเยี่ยมพระอุปัชฌาย์ หรือไปหาหนุ่มสาวที่ตนมั่นหมาย อย่าได้ไปมือเปล่า ขอคุณพ่อจงเอาผอบไม้จันทน์บรรจุเนยใสใส่ไปด้วย”

​ จากนั้นได้ปรึกษาหารือวิธีแก้ปัญหาอันจะเกิดขึ้นในราชสำนัก

​ เพื่อจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระราชา

​ เพราะการเข้าวังครั้งนี้ เกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตาย และชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลทีเดียว

​ เมื่อท่านเศรษฐีพาเศรษฐีทั้งหลายเข้าไปยังราชสำนัก

​ พระราชาทรงทักทายปราศรัย ตรัสถามว่า “ดูก่อนคฤหบดี มโหสถบุตรของท่านอยู่ที่ไหนล่ะ”

​ เศรษฐีทูลตอบว่า “จะตามมาภายหลัง พระเจ้าข้า” พระราชาทรงดีพระทัยและทรงมีพระทัยจดจ่อ อยากจะเห็นตัวบัณฑิตคนใหม่

​ จึงตรัสสั่งให้ท่านเศรษฐีนั่งบนอาสนะที่สมควรแก่ตน

​ ฝ่ายมโหสถมีเด็ก ๑,๐๐๐ คน ห้อมล้อม ได้นั่งรถที่ประดับแล้ว เดินทางเข้าสู่เมือง ระหว่างทาง เห็นลาตัวหนึ่ง จึงสั่งให้ผูกและให้นำไปด้วย

​ มหาชนเห็นรูปร่างหน้าตาของมโหสถ ต่างเกิดความรัก พากันชื่นชมในความสง่างามของพระโพธิสัตว์

​ เมื่อไปถึงประตูพระราชฐาน มโหสถขึ้นสู่ปราสาท ถวายบังคมพระราชา

​ พระราชาทอดพระเนตรเห็นมโหสถ ทรงปีติปราโมทย์ ทรงกล่าวปฏิสันถารอย่างอ่อนหวาน ราวกับมโหสถเป็นราชโอรส สุดที่รัก ทรงรับสั่งให้มโหสถเลือกอาสนะตามสมควร

​ เนื่องจากการ เลือกที่นั่งถือเป็นหลักเกณฑ์สำคัญประการหนึ่ง ในความเป็นนักปราชญ์ เพราะความรู้จักตน รู้จักประมาณ และรู้จักที่ชุมชน จัดเป็นองค์คุณสำคัญของผู้เป็นบัณฑิต

​ การนั่งในสมาคมต้องรู้ที่อันเหมาะสมแก่ตน ยิ่งในมหาสมาคมที่มีพระราชาเป็นประมุข ยิ่งเป็นที่เพ่งเล็ง หากเลือกได้เหมาะสมก็แสดงว่า เป็นผู้ควรแก่ความเป็นนักปราชญ์ แต่หากเลือกไม่เหมาะสมก็จะเป็นที่ติเตียนเย้ยหยัน ฉะนั้น

​ พระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสบอกมโหสถให้เลือกหาที่นั่งตามสมควร

​ ด้วยความเป็นปราชญ์ของมโหสถที่ได้นัดแนะกับบิดาไว้แล้ว เมื่อได้ยินพระดำรัส มโหสถชำเลืองดูทางบิดาทันที ท่านเศรษฐีรีบลุกจากอาสนะ พลางเชื้อเชิญลูกชายให้มานั่งแทนที่ของตน มโหสถไม่รีรอตรงไปนั่งแทนที่บิดา

​ บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารที่เฝ้าแหนอยู่เห็นกิริยาเช่นนั้น โดยเฉพาะอาจารย์ทั้งสี่ ต่างพากันโห่ร้องปรบมือหัวเราะชอบใจ และพูดเหน็บแนมว่า มโหสถไม่ใช่บัณฑิตอย่างที่คนทั่วไปเขารํ่าลือกัน เพราะแม้ที่นั่ง ก็ยังไปแย่งของบิดา เป็นการไม่เคารพต่อบิดาผู้ให้กำเนิด ไม่สมควรที่จะเป็นบัณฑิตเลย

ฝ่ายมโหสถกลับมีกิริยามั่นคงประดุจขุนเขา ที่ไม่หวั่นไหวในแรงลมที่มากระทบ

​ ได้แต่นึกในใจว่า คราวนี้แหละเราจักแสดงให้พวกอาจารย์เห็นปรีชาของเราบ้าง

​ พลางกราบทูลอย่างไม่สะทกสะท้านว่า

​ “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานวโรกาสสุดแต่จะโปรดกรุณา เท่าที่ได้สังเกต ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระพักตร์ ผุดผ่องเมื่อข้าพระพุทธเจ้ามาเฝ้า

​ แต่บัดนี้ พระองค์กลับมีใบหน้าแปรเปลี่ยนไป เพราะเหตุอะไร พระพุทธเจ้าข้า**"**

พระเจ้าวิเทหราชตรัสตอบว่า

“ใช่แล้วบัณฑิตน้อย เป็นความจริงที่เขากล่าวกันว่า บุคคลบางคนได้ยินข่าวกล่าวขวัญแล้ว น่ารักน่าชื่นใจ แต่พอได้เห็นตัวเข้า ความน่ารักน่าชื่นใจก็หมดไป ดังเช่นที่เราได้ประสบอยู่นี่แหละ

​ เรารู้สึกเสียดายจริงๆ ที่ความชื่นใจอันเกิดจากการฟังเรื่องราวที่ดีของเจ้านั้นได้สุดสิ้นลง แทนที่จะเพิ่มขึ้น

เรากำลังคิดว่า การไม่พบเห็นเจ้าเลยยังจะดีเสียกว่า**"**

​ แทนที่มโหสถจะเศร้าสลดไปด้วย ยังคงแจ่มใสเป็นปกติ กราบบังคมทูลว่า

​ “ขอเดชะ บิดาเท่านั้นสูงกว่าบุตร ไม่ว่าในฐานะไหนๆ ทั้งสิ้นหรือพระเจ้าข้า”

​ มโห “พระองค์ส่งข่าวไปว่า ให้ข้าพระบาทส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐมาถวายไม่ใช่หรือพระเจ้าข้า”

​ ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ก็สั่งให้บริวารจูงลาเข้ามาข้างใน และกราบทูล ถามว่า “ลาตัวนี้ราคาเท่าไร พระเจ้าข้า”

พระราชาตรัสตอบว่า

​ “ถ้ามันมีอุปการะมาก ราคาของมันอย่างมากก็เพียง ๘ กหาปณะ”

​ มโหสถทูลถามต่อไปว่า

​ “ถ้า ม้าอัสดรเกิดในท้องลาตัวนี้ ลาตัวนี้จะมีราคาเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า”

​ ครั้นพระราชาตรัสตอบว่า “หาค่ามิได้เลย บัณฑิต”

​ เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนั้น

​ มโหสถจึงย้อนความเดิมว่า

​ “ข้าแต่พระราชา ถ้าพระองค์คิดว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตรในทุกสถาน

​ ลานี้ซึ่งให้กำเนิดม้าอัสดร ก็ประเสริฐกว่าม้าอัสดร

​ ขอพระองค์จงรับลานั้นไว้เถิด

​ แต่ถ้าม้าอัสดร(ซึ่งเป็นลูก) ประเสริฐว่าลาทั้งหลาย พระองค์ก็จงทรงรับม้าอัสดรนั้นไว้

​ เช่นกัน ถ้าพระองค์คิดว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตรทั้งหลาย ขอได้ทรงรับบิดาของข้ากระผมไว้

​ แต่ถ้าบุตรสามารถประเสริฐกว่าบิดาได้ ขอพระองค์ได้รับกระผมไว้ เพื่อประโยชน์เถิด”

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับถ้อยคำอุปมาอุปไมยเช่นนั้น ทรงชื่นชมโสมนัส

​ จากนั้นก็ไม่ทรงรีรอ ทรงจับนำ้เต้าทอง หลั่งน้ำหอมให้ตกลงในมือของเศรษฐี พร้อมกับมีพระดำรัสว่า

​ “ท่านคฤหบดี ขอให้มโหสถบัณฑิตมาเป็นบุตรของเราเถิด เราจะเลี้ยงดูให้ดีประดุจบุตรสุดที่รักที่เกิดแต่อกเราทีเดียว”

แม้ท่านเศรษฐีจะรัก และคิดถึงบุตรสุดที่รักมากเพียงไร แต่เมื่อเป็นราชประสงค์ก็ไม่อาจขัดได้ อีกทั้งเห็นว่าเป็นโอกาสที่มโหสถจะได้แสดงปรีชาญาณของความเป็นบัณฑิต อันจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วงศ์ตระกูล และประเทศชาติบ้านเมือง จึงตัดสินใจมอบมโหสถให้พระราชา

​ ตั้งแต่นั้นมา มโหสถบัณฑิตกับบริวารอีก 1,000 ได้รับราชการอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช

พร้อมกันนั้นยังต้องเผชิญหน้ากับคณาจารย์ประจำราชสำนักชุดเก่าทั้ง ท่าน

​ ครั้งนี้ มีตัวอย่างเกี่ยวกับความเป็นผู้มีปัญญาของมโหสถ มาให้พวกเราได้ศึกษากันอีกเช่นเคย

​ ท่านได้อาศัยความมีปัญญามาก เข้ารับตำแหน่งบัณฑิต ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระเจ้าวิเทหราช

​ ยิ่งเมื่อท่านได้เข้ารับตำแหน่งบัณฑิตในราชสำนักแล้ว ก็ยิ่งได้ฉายแววแห่งความเป็นปราชญ์มากขึ้น

​ ดังเช่นวันหนึ่ง มหาชนเห็นเงาของแก้วมณีเปล่งแสงสว่างไสวอยู่ในสระโบกขรณี จนเป็นที่อัศจรรย์ของมหาชนที่ลงไปอาบน้ำ

​ เมื่อทุกคนมั่นใจว่า ในบริเวณนั้นต้องมีแก้วมณีอย่างแน่นอน

​ แต่ก็ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน จึงกราบทูลพระราชาว่า มีแก้วมณีอยู่ในสระโบกขรณี พระราชาทรงเรียกเสนกะมาตรัสถามว่า " ท่านอาจารย์ ได้ยินว่ามีมณีรัตนะอยู่ในสระโบกขรณี ทำอย่างไรจึงจะนำแก้วมณีนั้นขึ้นมาได้ "

เสนกะทูลว่า " ไม่ยากเลยพระเจ้าข้า ควรให้ทหารช่วยกันวิดน้ำออกจากสระโบกขรณีจนหมด จะได้แก้วมณีตามพระราชประสงค์อย่างแน่นอน พระเจ้าข้า “

​ พระราชาทรงสดับแล้ว รับสั่งให้เสนกะเป็นหัวหน้าในการวิดน้ำออกจากสระให้หมด

​ แต่ถึงแม้จะวิดน้ำจนหมดถึงพื้นแล้ว ก็ยังไม่พบแก้วมณี จึงให้เติมน้ำเข้าสระจนเต็ม เมื่อน้ำเต็มสระโบกขรณี ความแวววาวของแก้วมณีก็ปรากฏอีก

​ เสนกะอุตส่าห์ให้วิดน้ำออกอีก ขุดลงไปจนถึงดินดาน

​ ทำเช่นนี้ถึง ๓ ครั้ง ก็ยังไม่พบแก้วมณี ทำให้เหนื่อยอ่อนไปตามๆ กัน หมดหวังในแก้วมณีดวงนั้น

​ พระราชา จึงตรัสเรียกมโหสถ บัณฑิตมาเข้าเฝ้า และทรงเล่าเรื่องแก้วมณีพลางตรัสถามว่า จะนำแก้วมณีขึ้นมาได้หรือไม่

​ มโหสถกราบทูลว่า " ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท เรื่องนี้หาเป็นการหนักหนาอะไรไม่ ข้าพระองค์จักนำแก้วมณีมาถวายตามราชประสงค์เองพระเจ้าข้า "

​ พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนั้น ทรงเบาพระทัยคิดว่า วันนี้เราจักเห็นกำลังปัญญาของมโหสถบัณฑิต

​ จึงเสด็จไปสู่สระโบกขรณีพร้อมด้วยข้าราชบริพาร

​ มโหสถบัณฑิตยืนอยู่ที่ฝั่ง มองดูแสงของแก้วมณีก็รู้ว่า แก้วมณีนี้ไม่ได้อยู่ในสระโบกขรณี เพราะเห็นเพียงประกายวูบวาบเท่านั้น

ครั้นตรวจตราดูรอบๆ เห็นต้นตาลตั้งอยู่โดดเดี่ยว ใกล้ๆ สระ จึงมีความมั่นใจว่าดวงแก้วมณีนี้จะต้องอยู่บนต้นตาล จึงกราบทูลว่า " แก้วมณีไม่มีในสระโบกขรณี พระเจ้าข้า "

​ พระราชาทรงสดับเช่นนั้น ยังไม่ทรงเชื่อนัก เพราะความเห็นของมโหสถกับของท่านอาจารย์เสนกะดูต่างกันเหลือเกิน

​ มโหสถจึงให้นำภาชนะสำหรับขังน้ำมาใส่น้ำจนเต็ม แล้วกราบทูล ว่า " ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูเถิด แสงของแก้วมณีไม่ได้ปรากฏเฉพาะในสระโบกขรณีเพียงแห่งเดียว แม้ในภาชนะนี้ก็ปรากฏเช่นกัน

​ แสดงว่าแก้วมณีไม่ได้อยู่ในสระโบกขรณี แต่อยู่ในรังกาบนต้นตาล โปรดให้ราชบุรุษขึ้นไปนำลงมาเถิด พระเจ้าข้า "

​ เมื่อราชบุรุษขึ้นไปบนต้นไม้ ได้พบดวงแก้วมณีอยู่ในรังกา ตามที่มโหสถบัณฑิตบอกไว้จริงๆ

​ พระราชาทรงชื่นชมโสมนัสมาก ถึงกับพระราชทานสร้อยมุกดาหาร เครื่องประดับพระศอของพระองค์ให้มโหสถ

​ พร้อมทั้งพระราชทานสร้อยมุกดามากมายให้กับเด็กผู้เป็นบริวารของมโหสถ

​ เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ชื่อเสียงของมโหสถเริ่มเป็นที่ประจักษ์ต่อมหาชนกันถ้วนหน้า ว่า เป็นผู้มีปัญญาเลิศกว่าท่านอาจารย์เสนกะมากมายนัก

​ วันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปพระราชอุทยานพร้อมด้วยมโหสถบัณฑิต มีกิ้งก่าตัวหนึ่งอยู่ที่ต้นไม้ มันเห็นพระราชาเสด็จมา ก็ลงจากต้นไม้หมอบอยู่ที่พื้นดิน

​ พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยาของกิ้งก่าแล้วอดสงสัยไม่ได้ จึงตรัสถามมโหสถบัณฑิต

​ ครั้นพระราชาทรงทราบว่า กิ้งก่าตัวนี้ลงมาถวายความนอบน้อม จงรักภักดีต่อพระองค์ จึงมีพระเมตตาอยากมอบของที่ระลึกให้มัน

​ มโหสถกราบทูลแนะนำว่า ควรจะให้มันได้กินเนื้อเป็นประจำทุกวัน สมกับที่มันมีความเคารพนอบน้อม

​ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กิ้งก่าจึงได้กินเนื้ออย่างดีมีราคาถึงครึ่งมาสก

​ เมื่อถึงวันอุโบสถซึ่งชาวเมืองไม่ฆ่าสัตว์ ราชบุรุษหาเนื้อไม่ได้ จึงเจาะเหรียญครึ่งมาสก เอาด้ายร้อยผูกเป็นเครื่องประดับที่คอมัน

​ เมื่อกิ้งก่าได้เหรียญแค่ครึ่งมาสกเท่านั้น ก็ทำตัวประหนึ่ง ว่ามีสมบัติมากมาย เกิดอาการเย่อหยิ่งพองตัว

​ ครั้นพระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน กิ้งก่าก็ทำตนเสมอพระราชา ไม่ลงจากต้นไม้มาแสดงคารวะเช่นเคย แต่ยกหัวร่อนไปร่อนมาอยู่บนต้นไม้

​ พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นกิริยาของมัน จึงตรัสถามมโหสถบัณฑิตว่า ทำไม เจ้ากิ้งก่าจึงมีกิริยาแตกต่างจากวันที่ผ่านมา

​ มโหสถรู้ว่า ในวันอุโบสถคนจะไม่ฆ่าสัตว์ ราชบุรุษได้ให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่เจ้ากิ้งก่า ด้วยทรัพย์เพียงแค่ครึ่งมาสกที่ราชบุรุษผูกไว้ที่คอ มันจึงถือตัวและแสดงอาการดังกล่าว

​ เมื่อพระราชาตรัสเรียกราชบุรุษมาตรัสถามว่า เป็นอย่างที่มโหสถกล่าวหรือไม่ ก็ได้รับคำยืนยันว่าเป็นจริงตามนั้น ทำให้พระราชาทรงเลื่อมใสในมโหสถมากยิ่งขึ้น จึงพระราชทานส่วยที่ประตูทั้งสี่แก่มโหสถ

แต่ก็ทรงกริ้วกิ้งก่ามากที่บังอาจมาทำตนเสมอพระองค์ ทรงปรารภจะให้ฆ่าเสีย

​ มโหสถทูลทัดทานไว้ว่า " ธรรมดาสัตว์เดรัจฉานหาปัญญามิได้ ขอพระองค์โปรดยกโทษให้มันเถิด เพราะความเมตตาเป็นคุณธรรม ที่พระองค์ควรจะธำรงไว้แม้ในสัตว์เดรัจฉาน “

​ พระราชาสดับแล้ว ทรงมีพระทัยอ่อนโยน จึงไม่สั่งฆ่าตามคำทูลแนะนำของมโหสถ

================

================

================

================

เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราช ทอดพระเนตรไปทางช่องหน้าต่าง ทรงเห็นแพะและสุนัขตัวหนึ่งมีความสนิทสนมเป็นมิตรกัน จึงเกิดปัญหาที่เกิดขึ้นในใจของพระราชา

จึงตรัสถามปัญหาที่เป็นปริศนาธรรมกับเหล่าอ.เสากะ ว่า

​ “สัตว์เหล่าใดเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่เคยไปด้วยกัน

​ สัตว์ทั้งสองเหล่านั้นเป็นศัตรูกัน แต่บัดนี้มาเป็นเพื่อนสนิทรักใคร่กัน เป็นเพราะเหตุใด

​ พระราชาบอก **“**ถ้าหลังอาหารเช้าวันนี้ ท่าน ทั้งหลายไม่สามารถแก้ปัญหาของเราได้ เราจักขับพวกท่านออกจากแว่นแคว้นของเรา "

​ แม้อาจารย์เสนกะจะนั่งอยู่ด้านหน้าใกล้พระที่นั่งที่สุด ฟังแล้วก็ขบปัญหาไม่ออก ได้เหลียวแลดูมโหสถว่า จะแสดงอาการอย่างไร

​ อ.เสนกะสังเกตเห็นกิริยาของมโหสถก็รู้ว่า มโหสถยังขบคิดปัญหานี้ไม่ออก

​ แต่มโหสถรู้ว่า อาจารย์เสนกะยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้เช่นกัน เพราะปัญหานี้ต้องอาศัยเวลา

​ พออาจารย์เสนกะเห็นไม่เข้าท่า จึงชิงไหวชิงพริบกราบทูลขึ้นก่อนว่า " ข้าแต่พระองค์ ในสมาคมที่อึกทึก ข้าพระองค์ทั้งหลาย มีใจฟุ้งซ่าน จิตไม่แน่วแน่ ไม่สามารถจะพยากรณ์ปัญหานั้นได้ ต้องมีจิตมีอารมณ์เดียว อยู่ในที่หลีกเร้นตามลำพัง จึงจะนั่งคิดนั่งพิจารณาปริศนาธรรมทั้งหลายได้ พระเจ้าข้า "

​ เมื่อพระราชาทรงเห็นว่า แม้มโหสถเองก็ตอบไม่ได้ จึงทรงอนุญาตเลื่อนการตอบปัญหาออกไปก่อน

​ เหล่าบัณฑิตทั้งหลาย ได้ทูลลาไปที่พำนักของตน ส่วนมโหสถบัณฑิตเมื่อออกจากท้องพระโรงแล้ว ได้ไปเข้าเฝ้าพระราชเทวีอุทุมพรมเหสีของพระราชา

​ เพราะคิดว่า พระราชาไม่น่าจะทรงคิดปัญหานี้เองได้ พระองค์คงจะทอดพระเนตรเห็นอะไรสักอย่างเป็นแน่

​ จึงทูลถามพระนางว่า " ข้าแต่พระเทวีเจ้า วันนี้หรือวานนี้พระราชาทรงประทับอยู่ที่ใดนานเป็นพิเศษ "

​ พระนางอุทุมพรตรัสตอบว่า " เมื่อวานนี้พระราชาได้เสด็จเดินไปเดินมาในปราสาท และได้ทอดพระเนตรที่ช่องหน้าต่างเป็นเวลานาน "

​ มโหสถคิดว่า พระราชาจะต้องทอดพระเนตรเห็นอะไรสักอย่างเป็นแน่

​ จึงเดินออกไปสำรวจบริเวณนั้น ก็พบแพะและสุนัขที่มีความสนิทสนมต่อกันเป็นพิเศษ

​ มโหสถยืนพิจารณาสัตว์ทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจแจ่มแจ้งตั้งแต่ต้นจนจบถึงปัญหาของพระราชา และจับเค้าความเป็นมาของแพะ และสุนัขได้อีกด้วย

​ ความเป็นมาของสัตว์ทั้งสองมีอยู่ว่า วันหนึ่งแพะตัวนั้นได้แอบเข้าไปกินหญ้าในโรงช้าง ทำให้ถูกตีจนหลังแอ่นได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก จึงหลบหนีไปนอนใกล้พระราชวัง

​ วันเดียวกันนั้นเอง สุนัขซึ่งปกติทุกวันมันจะกินเฉพาะกระดูกที่ห้องครัวหลวงจนอ้วนพี

​ แต่วันนั้นทนกลิ่นปลาและเนื้อไม่ไหว จึงได้แอบเข้าไปกินเนื้อ

​ จนพ่อครัวมาพบเข้า ก็ถูกไล่ตีด้วยท่อนไม้ จึงหลบหนีเข้าไปซ่อนในที่แห่งเดียวกันกับแพะตัวนั้น

​ เมื่อทั้งสองมาเจอกัน ต่างปรับทุกข์กัน ในที่สุดเจ้าแพะออกอุบายว่า

​ “ท่านสุนัขเป็นสัตว์ไม่กินหญ้าจึงไม่เป็นที่สงสัยของควาญช้าง ฉะนั้น ท่านต้องเข้าไปในโรงช้าง ฉวยโอกาสคาบหญ้ามาให้ฉันเถิด

​ ส่วนตัวฉันเองเป็นสัตว์ไม่กินเนื้อ จึงไม่เป็นที่สงสัยของพ่อครัว เพราะฉะนั้น ฉันจะเข้าไปในโรงครัวนำเนื้อมาให้ท่าน”

​ เมื่อสัตว์ทั้งสองตกลงพร้อมใจสามัคคีเช่นนี้ ต่างดำเนินการตามแผน ทำให้พวกมันอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

​ ฝ่ายบัณฑิตอีกสามท่านกลับไปบ้านก็ยังขบคิดปัญหาไม่ออก จึงชวนกันมาหาอาจารย์เสนกะ แม้อาจารย์เสนกะก็คิด ไม่ออกเช่นกัน จึงชวนกันไปถามโหสถเผื่อว่ามโหสถจะมีทางออกบ้าง

​ ทั้งสี่ท่านมาแล้วก็ไม่ผิดหวัง มโหสถบัณฑิตได้แจ้งข่าวดี ว่า ได้ขบคิดปัญหาออกแล้ว ด้วยความเมตตาที่มีต่อท่านทั้งสี่ ไม่ปรารถนาเห็นเพื่อนร่วมงานต้องถูกขับออกจากแว่นแคว้น จึงให้บัณฑิตทั้งสี่เรียนคำตอบคนละหนึ่งคำตอบ

วันรุ่งขึ้น เมื่อพระราชาตรัสถามถึงคำตอบ เสนกบัณฑิต ก็กราบทูลเป็นคาถาที่ได้จดจำมาจากมโหสถว่า " เนื้อแพะเป็นที่โปรดปรานของมวลอำมาตย์ และพระราชโอรสทั้งหลาย ชนเหล่านั้นไม่บริโภคเนื้อสุนัข แต่น่าประหลาดเหลือเกินที่แพะกับสุนัขมีมิตรธรรมที่ดีต่อกัน "

เมื่อกล่าวจบ ตนเองก็รู้สึกสับสนในคาถานั้น เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริง

​ มีเพียงพระเจ้าวิเทหราช และมโหสถเท่านั้นที่แจ่มแจ้ง

​ แต่พระราชาก็ปลาบปลื้มกับคำตอบนั้น สมเป็นบัณฑิตจริงๆ

​ จากนั้นได้ตรัสถามท่านปุกกุสะเป็นคนต่อไป

​ ทั้งปุกกุสะ กามินทะ และเทวินทะ ต่างกราบทูลเป็นคาถาที่จดจำมา ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายคลึงกับที่เสนกะกล่าว

​ พระราชาได้สดับแล้วทรงชื่นชมโสมนัส ฝ่ายมโหสถทูลตอบเป็นคนสุดท้ายว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า ตั้งแต่อเวจีจนถึงภวัคคพรหม ยกเว้นข้าพระองค์เสียแล้ว คนอื่นใครจะรู้ถึงปัญหานี้ "

​ จากนั้นก็ได้กราบทูลว่า " แพะมี มีกายไม่ปรากฏ สุนัขนำหญ้ามาให้แพะกิน ส่วนแพะคาบเนื้อมาให้สุนัข พระองค์ประทับอยู่บนปราสาท ได้ทอดพระเนตรเห็น การนำอาหารมาแลกกัน และได้ทอดพระเนตรเห็นมิตรธรรมของสัตว์ทั้งสอง พระเจ้าข้า "

​ จากนั้นได้กราบทูลในรายละเอียดทั้งหมด พระราชาได้สดับคำเฉลยของบัณฑิตทั้งห้า ก็ทรงปีติโสมนัสมาก ที่ทุกคนสามารถแก้ปัญหาที่ลึกซึ้งของพระองค์ได้ จึงทรงมอบรถเทียมม้าอัสดรแก่บัณฑิตทั้งห้าท่าน

น้ำใจของพระโพธิสัตว์

===============

===============

​ *เรื่องมีอยู่ว่า พระราชเทวีอุทุมพร ทรงรู้ว่าบัณฑิตทั้งสี่สามารถตอบปริศนาธรรมของพระราชาได้เพราะมโหสถ

​ แต่ก็ได้ลาภสักการะเท่ากัน จึงกราบทูลพระราชาตามความเป็นจริง

​ พระราชาดำริว่า ที่ผ่านมาก็แล้วกันไป

​ ทรงมีพระราชประสงค์จะทดลองปฏิภาณไหวพริบ แนวความคิดของบัณฑิตทั้งห้าว่า ใครจะแสดงความเห็นได้ถูกต้อง และถูกพระทัยมากกว่ากัน จึงคิดปัญหาอย่างหนึ่ง เรียกว่าสิริเมณฑกปัญหา

​ ซึ่งเป็นปัญหาระหว่างปัญญาและทรัพย์ว่า อะไรจะประเสริฐกว่ากัน

​ เช้าวันหนึ่ง เมื่อบัณฑิตทั้งห้ามาเข้าเฝ้าตามปกติ พระราชาได้ตรัสกับเสนกะว่า " ท่านอาจารย์เสนกะ บรรดาคน ๒ พวก คือ

​ คนสมบูรณ์ด้วยปัญญาแต่เสื่อมจากสิริ

​ และคนมียศแต่ไร้ปัญญา

​ นักปราชญ์บัณฑิตยกย่องใครว่าประเสริฐกว่ากัน "

​ เสนกะ กราบทูลเฉลยปัญหานั้นทันทีว่า " คนฉลาด และคนโง คนมีความสามารถหรือไม่มี

​ แม้มีชาติตระกูลสูง ก็ย่อมเป็นผู้รับใช้ของคนมีย

​ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงขอทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลวทราม

​ ส่วนคนมีสิริเป็นคนประเสริฐ

​ พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของเสนกะ ก็ไม่ตรัสถามอาจารย์อีก ๓ คน

​ แต่ข้ามไปถามมโหสถบัณฑิตว่า " ดูก่อนมโหสถ

ระหว่างคนพาลผู้มียศ

และบัณฑิตผู้ไม่มีโภคะ

​ นักปราชญ์ยกย่องคนไหนว่าประเสริฐกว่ากัน "

​ มโหสถทูลตอบอย่างไม่ลังเลใจว่า " โปรดสดับเถิดพระมหาราชเจ้า คนพาลทำกรรมที่เป็นบาปหยาบช้า สำคัญว่ายศของเราในโลกนี้ประเสริฐ คนพาลมองเห็นแต่ประโยชน์ในโลกนี้ ไม่เห็นประโยชน์ในโลกหน้า ต้องได้รับเคราะห์ร้ายในโลกทั้งสอง ข้าพระองค์เห็นว่า คนมีปัญญาประเสริฐแท้ "

​ พระเจ้าวิเทหราช จึงตรัสถามเสนกะอีกว่า " มโหสถสรรเสริญคนมีปัญญาว่าเป็นผู้สูงสุด ท่านจะแย้งว่าอย่างไรล่ะ "

​ เสนกะทูลว่า " ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มโหสถยังเด็ก แม้ทุกวันนี้ปากของเธอยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มโหสถจะรู้อะไร ฝูงนกบินไปบินมาตามต้นไม้ในป่าที่มีผลดกฉันใด

ชนเป็นอันมากย่อมคบหาสมาคมผู้มั่งคั่งมีโภคทรัพย์มาก เพราะความต้องการด้วยทรัพย์ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น คนมีสิริสมบัติเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ "

​ พระราชาทรงสดับดังนั้น ก็ตรัสว่า " พ่อมโหสถบัณฑิต เจ้าจะกล่าวแก้อย่างไร "

​ มโหสถ ว่า “คนมีปัญญาน้อยได้ความสุขแล้วย่อมประมาท

​ เมื่อมีความสุขหรือความทุกข์ที่มาถูกต้องแล้ว

​ เขาย่อมหวั่นไหว เหมือนปลาดิ้นรนในที่ร้อน คนมีปัญญาแล คนเขลามียศหาประเสริฐไม่ "

เมื่อพระราชาตรัสถามเสนกะอีกว่า " ท่านอาจารย์เสนกะ ท่านจะแก้อย่างไร "

​ เสนกะโต้ตอบกลับไปว่า " ข้าแต่สมมติเทพ พวกข้าพระองค์ทั้งหมดแม้เป็นบัณฑิต ยังเคารพบำรุงพระองค์ พระองค์ทรงเป็นใหญ่ครอบงำพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ดุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นเจ้าแห่งดาวดึงส์พิภพ

​ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาไม่ประเสริฐ คนมีสิริเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ "

มโหสถเห็นเสนกะยังไม่ยอมแพ้ จึงกราบทูลว่า " ข้าแต่พระมหาราชเจ้า คนเขลามียศ ก็เป็นประดุจทาสของคนฉลาด ในเมื่อมีกิจต่างๆ เกิดขึ้น คนฉลาดย่อมจัดการภารกิจนั้นได้

​ คนเขลาย่อมถึงความหลงในกิจนั้น

​ คนมีปัญญาเท่านั้นเป็นคนประเสริฐสุด "

มโหสถบัณฑิต " ปัญญาเป็นที่สรรเสริญของสัตบุรุษ ทั้งหลาย สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญปัญญาว่า ประเสริฐอย่างแท้จริง

​ ทรัพย์ยศเป็นที่ใคร่ของพวกคนเขลา คนเขลาใคร่ยศ ยินดีในโภคสมบัติ

​ ก็ความรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลาย ใครๆ ไม่สามารถเปรียบด้วยอุปมาได้

​ คนมีสิริย่อมไม่ล่วงเลยคนมีปัญญาในกาลไหนๆ ผู้รู้ผู้มีปัญญาเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ "

​ พระเจ้าวิเทหราชได้สดับการบันลือสีหนาทของมโหสถเช่นนั้น ทรงชื่นชมโสมนัส ทรงบูชามโหสถด้วยทรัพย์สมบัติ และเครื่องสักการะมากมาย

สรุปมโหสถ ก็ชนะอีกแล้ว

=============

=============

=============

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุคคหสูตร ว่า

“สุภาพสตรีผู้มีปรีชา ต้องไม่ดูหมิ่นสามีผู้หมั่นเพียร ขวนขวายอยู่เป็นนิตย์ เลี้ยงตนอยู่ทุกเมื่อ

​ ไม่ทำสามีให้ขัดเคือง

​ ไม่ประพฤติแสดงความหึงหวงสามี และบูชาผู้ที่สามีมีความเคารพ เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน สงเคราะห์คนทางฝ่ายของสามี ประพฤติเป็นที่พอใจของสามี รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้

นารีใดประพฤติตนเช่นนี้ นารีนั้นย่อมเข้าถึงความเป็นเทพธิดาในสวรรค์**"**

​ ในสมัยก่อนถือว่า การใช้ชีวิตคู่เป็นเรื่องละเอียด อ่อน จำเป็นต้องพินิจพิจารณาไตร่ตรองในการเลือกคู่ครองกันให้มากๆ จะอาศัยเพียงอำนาจกิเลสหรือความรักชั่ววูบไม่ได้

​ เพราะจะต้องอยู่ร่วมกันไปจนตลอดชีวิต เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว จำเป็นต้องช่วยกันพาย

​ ต้องมีความคิด คำพูด และการกระทำไปในทิศทางเดียวกัน ไม่เช่นนั้น จะเป็นเหตุให้นาวาชีวิตล่มลงกลางคันได้

​ เหมือนเรื่องของมโหสถบัณฑิตผู้รู้จักวิธีการเลือกคู่ครอง เลือกสตรีที่มีศีล และทิฏฐิเสมอกับตนเอง ทำให้ได้ศรีภรรยาเข้ามาเสริมบารมี ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

​ ครั้งนี้เรามาฟังเรื่องราวการเลือกคู่ครองของมโหสถบัณฑิตว่า ท่านมีหลักในการเลือกคู่ครองไว้อย่างไร

​ *เมื่อมโหสถเติบโตเป็นหนุ่ม พระนางอุทุมพรผู้เป็นราชเทวีของพระเจ้าวิเทหราช ทรงดำริว่า มโหสถเติบโตเป็นหนุ่ม มียศฐาบรรดาศักดิ์ และตำแหน่งมั่นคงแล้ว ควรจะมีคู่ครอง จะได้เป็นหลักเป็นฐาน

​ จึงเรียกมโหสถเข้ามาปรึกษา โดยพระนางจะขอรับเป็นคนเลือกหญิงงามให้เป็นคู่ครอง และจะเป็นเจ้าภาพ จัดงานแต่งงานให้อย่างสมเกียรติอีกด้วย

​ มโหสถเป็นคนมีปัญญา เมื่อเห็นว่า ต้องแต่งงาน ก็ปรารถนาที่จะครองรักครองเรือนให้ยั่งยืน จึงปฏิเสธความหวังดีของพระนาง โดยขอเป็นผู้เลือกหญิงที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครองด้วยตนเอง

มโหสถได้ให้เหตุผลไว้หลายอย่าง มีอยู่ตอนหนึ่งท่านกล่าวไว้น่าคิดว่า

" ภรรยาที่จะเป็นคู่ชีวิตของชาย ต้องมีคุณสมบัติ ๔ ประการ คือ

- มีความรักในสามีเหมือนมารดารักบุตรน้อย

- มีความเคารพเหมือนน้องสาวเคารพพี่ชาย

- มีความซื่อตรงเหมือนเพื่อนร่วมตาย

- และมีความจงรักภักดีเหมือนทาสีรักนาย

​ ชายใดได้คู่ครองที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติทั้งสี่นี้แล้ว แม้จะอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ก็เหมือนอยู่ในวิมานเมืองสวรรค์

​ หากไม่ครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการ ขอเพียงได้หญิงที่มีคุณสมบัติอย่างใด อย่างหนึ่ง ก็ยังคงเป็นคู่ครองที่ดีของฝ่ายชายได้**"**

​ มโหสถยังได้กล่าวเสริมไว้ว่า " การที่เอาความรักไปวางไว้ที่ความดี คือ เป็นคนดีจึงจะรัก ก็จะทำให้ความรักนั้นยืนนาน

ความรักอย่างนี้จะหมดไปต่อเมื่อคู่ครองหมดความดี

​ คนที่มีอัธยาศัยดี แม้ชีวิตร่างกายจะแตกดับเป็นเถ้าผงธุลีไปแล้ว ความดีก็ยังไม่หมด

​ เมื่อความดียังไม่หมดความรักก็ยังคงอยู่

แต่หากเอาความดีไปไว้ตรงที่ความรัก คือ ถ้ารักจึงเรียกว่าดี ความยืนยาวของความรักชนิดนี้ก็จะมีน้อยนิดนัก

​ เพราะรักกับชังอยู่ใกล้กันมาก คู่ครองที่เอาความดีไปไว้ที่รัก เห็นอะไรก็ดีไปหมดในยามรัก เมื่ออยู่ร่วมกันได้ไม่นาน ก็มักจะ มีเรื่องทะเลาะกัน สุดทางรักชนิดนี้คือหย่าร้าง ต่างคนต่างไปตามวิถีชีวิตของตน”

​ เมื่อมโหสถสาธยายให้เหตุผลเช่นนั้นแล้ว จึงกราบทูลลากลับไปที่พัก เพื่อแสวงหาสตรีในอุดมคติมาเป็นคู่ครอง

​ ท่านได้ปลอมตัวเป็นนายช่างชุนผ้า มีกระเป๋าเครื่องมือในการเย็บปักถักร้อย พร้อมด้วยกระเป๋าหนังที่จุเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ และผ้าสาฎกเนื้อดีผืนหนึ่ง

​ จากนั้นได้เดินทางออกนอกเมืองไปตามลำพัง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เปลี่ยนชื่อตนเองเป็นชื่อ โสมทัต

​ ครั้งนั้นมีธิดาของเศรษฐีตกยากชื่ออมราเทวี นางมีรูปงาม ได้รับการฝึกมารยาทตามแบบฉบับของกุลสตรีทุกอย่าง

​ วันนั้นนางหุงข้าวต้มแต่เช้า หาบเดินไปหาบิดาที่กำลังไถนา ได้พบกับมโหสถซึ่งกำลังเดินผ่านไปพอดี มโหสถสังเกตเห็นกิริยาอาการและลักษณะผู้ดีของนาง จึงอยากเลียบเคียงสนทนากับนาง

ได้ถามนางเป็นภาษาใบ้ด้วยการยื่นกำมือตั้งแต่ไกล

​ นางอมรารู้ความหมายว่า การกำมือหมายถึงมีคู่ครองแล้ว

​ แต่ถ้าแบมือออกแสดงว่า ยังไม่ได้อยู่ในปกครองของชายใด

​ นางจึงตอบด้วยการแบมือออก เมื่อมโหสถรู้ว่านางยังไม่ได้แต่งงาน

จึงเดินเข้าไปถามใกล้ๆ ว่า "นางผู้เจริญ เธอชื่ออะไร

​ ฝ่ายหญิงสาวตอบว่า “สิ่งใดไม่มีในอดีต ไม่มีในอนาคต ไม่มี ในปัจจุบัน สิ่งนั้นเป็นชื่อของข้าพเจ้า”

​ มโหสถเป็นคนมีปัญญา จึงเฉลยว่า “นางผู้เจริญ ชื่อว่าความไม่ตายไม่มีในโลก ฉะนั้น เธอจึงชื่อว่าอมรา”

​ เมื่อได้รับ คำยืนยันว่า ชื่ออมรา มโหสถจึงถามต่อว่า “เธอจะนำข้าวต้มนี้ไปให้ใคร”

​ หญิงสาวตอบเป็นปริศนาว่า “ข้าพเจ้านำไปเพื่อ บุพเทวดา”

​ มโหสถกล่าวว่า “พ่อแม่ได้ชื่อว่าเป็นบุพเทวดา เธอคงจะนำข้าวต้มไปให้บิดาของเธอใช่ไหม**"**

​ นางยืนยันว่าใช่

​ ครั้นมโหสถถามถึงบิดา นางตอบว่า “บิดาของดิฉัน ทำสิ่งหนึ่งโดยส่วนสอง อยู่ที่ที่เมื่อถูกนำไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย**"**

​ มโหสถตรองดูก็รู้ว่า การไถนาชื่อว่าการทำสิ่งหนึ่งโดยส่วนสอง ส่วนป่าช้าเป็นสถานที่ที่ไปแล้วจะไม่กลับมาอีก เห็นทีบิดาของเธอจะไถนาในที่ใกล้ป่าช้า

​ เมื่ออมราสาวงามเห็นว่ามโหสถตอบปริศนาของนางได้ถูกหมด ก็ดีอกดีใจ

​ เพราะในชีวิตที่ผ่านมา มีชายหนุ่มมากมายในหมู่บ้านผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ไม่มีใครพอจะมีปัญญาสนทนากับนางได้

​ ครั้นเห็นมโหสถผู้มีรูปกายที่งดงาม อีกทั้งมีสติปัญญา และวาทศิลป์ในการเจรจาปราศรัย ก็รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ

​ *มโหสถได้ไปเยี่ยมมารดาของนางอมราที่บ้าน และขอพักอาศัยสักคืนสองคืน

​ มารดาของนางอมราเห็นว่า มโหสถเป็นคนที่มีความเคารพนอบน้อม มีคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการฝึกตัวมาดี จึงยินดีต้อนรับมโหสถ

​ อีกทั้งนางเองก็รักมโหสถเหมือนลูกชาย เมื่อมีโอกาส

​ มโหสถจึงอยากจะทดลองนางอมราว่า จะเป็นผู้มีความอดทนหรือไม่

​ มโหสถบอกนางอมราให้นำข้าวสารครึ่งทะนานไปต้มข้าวต้ม ทำขนม และหุงข้าวสวยด้วย

​ นางอมรารับคำสั่งแล้ว ก็ตำข้าวสาร นางเป็นคนฉลาดในเรื่องการทำครัวอยู่แล้ว

​ จึงนำข้าวสารที่ไม่ค่อยมีเมล็ดหักหุงเป็นข้าวสวย มีเมล็ดหักมากก็นำมาต้มเป็นข้าวต้ม

​ ส่วนที่เป็นปลายข้าวสารก็นำมาป่นทำขนม

​ หลังจากนั้นนางได้จัดข้าวต้มมาให้มโหสถ

​ ทันทีที่ข้าวต้มถึงปาก ข้าวต้มนั้นก็แผ่ซ่านไปสู่เส้นประสาททั้งเจ็ดพัน

แต่ถึงแม้จะมีรสอร่อย มโหสถก็แสร้งทำเป็นไม่อร่อย

​ นางอมราฟังแล้ว ก็มิได้โกรธเคืองอะไร แต่เอาอกเอาใจมโหสถว่า ถ้าข้าวต้มไม่อร่อย ท่านก็กินขนมที่กำลังร้อนๆ นี้เถิดŽ

​ พลางส่งขนมให้มโหสถ มโหสถชิมดูแล้ว รู้สึกชื่นใจในรสขนมของนาง

​ แต่แสร้งบ่นว่า ไม่อร่อย เป็นขนมที่ไม่มีรสชาติเอาเสียเลยŽ

​ นางอมราก็ไม่ว่าอะไร คอยทำหน้าที่ที่ดีต่อไป นางบอกว่า ถ้าขนมไม่อร่อย ท่านลองกินข้าวสวยดูเถอะŽ

​ นางได้นำข้าวสวย มาให้มโหสถอีก มโหสถก็ทำอาการเหมือนเดิม แสร้งพูดจาให้นางขุ่นเคือง อย่างไรก็ตามนางยังสามารถรักษาภาวะปกติของตนไว้ได้ ทำให้มโหสถพอใจนางมาก

มโหสถได้เห็นการต้อนรับขับสู้ของนางอมรา และบิดามารดาของนาง รู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านของตัวเอง อีกทั้งได้สังเกตกิริยามารยาททุกอย่างของว่าที่ภรรยาแล้ว รู้สึกพอใจความเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กิริยามารยาทก็พอเหมาะพอสม

ส่วนตัวเองก็แสดงความสามารถในการชุนผ้าที่หาใครเทียบไม่ได้ เพียงวันเดียวเท่านั้นสามารถเย็บผ้าที่ชาวบ้านขนมาให้ปักชุนจนหมด ทำให้ได้เงินค่าจ้างถึง **,****๐๐๐** **กหาปณะ**

เมื่อมโหสถพิสูจน์ความเป็นกุลสตรีของอมราจนมั่นใจแล้ว ก็เอ่ยปากบอกบิดามารดาของนางว่า จะขอลูกสาวไปเป็นคู่ชีวิตด้วย

​ บิดามารดาซึ่งพอใจในตัวมโหสถอยู่แล้ว ก็ไม่ขัดข้อง

​ มโหสถจึงนำผ้าสาฎกเนื้อดีที่ติดตัวมาด้วยมอบให้นางอมราได้สวมใส่ พร้อมกับมอบเงินอีก ๑,๐๐๐ กหาปณะ แก่บิดามารดา ของนาง เพื่อใช้ดูแลตัวเองในยามยาก

​ จากนั้นทั้งสองได้อำลาเพื่อออกเดินทางกลับสู่เคหะสถานของมโหสถ

​ ในระหว่างทาง มโหสถอยากทดลองความเป็นผู้มีใจซื่อสัตย์ของว่าที่ภรรยา

​ จึงพานางอมราเข้าไปขอพักอาศัยอยู่กับคนเฝ้าประตูเมือง ระหว่างนั่งพัก มโหสถแสร้งบอกนางอมราว่า จะขอเข้าไปทำธุระข้างนอกสัก ๒ - ๓ ชั่วโมง แล้วจะกลับมา

​ จากนั้นได้แอบไปบอกภรรยาของคนเฝ้าประตูว่า จะมีชายหนุ่ม ๓ - ๔ คน เข้ามาเกี้ยวพาราสีนางอมรา ขอให้นางอย่าได้ขัดขวาง เพราะท่านต้องการลองใจว่าที่ภรรยาว่า จะเป็นผู้มั่นคงในความรักหรือไม่

​ จากนั้นมโหสถได้เดินทางกลับบ้านพักในพระราชวังก่อน

มโหสถได้สั่งให้ชายหนุ่ม คน ซึ่งเป็นหนุ่มนักรัก เจ้าชู้มีเสน่ห์ที่หาตัวจับยาก ถือได้ว่าเป็นนักเลงหญิงประจำเมืองกันเลยทีเดียว

​ ชายหนุ่มทั้งสี่ถูกส่งให้ไปจีบสาวแล้ว ยังได้รับเงินอีกคนละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ต่างหน้าชื่นตาบาน รีบเดินทางไปหานางอมราที่บ้านของคนเฝ้าประตู

​ แต่ละคนต่างมีวาทะที่สามารถ โน้มน้าวใจให้ฝ่ายหญิงหลงรัก และหลงใหลได้โดยไม่ยาก แต่ไม่น่าเชื่อว่า

​ ชายหนุ่มทั้งสี่ที่ทยอยเข้าไปพูดจาเกี้ยวพาราสีนางอมรานั้น ต้องถอยกลับออกมาด้วยความผิดหวัง และพ่ายแพ้กันทุกคน

​ ชายหนุ่มทั้งสี่กลับมารายงานมโหสถว่า นางเป็นยอดหญิงที่งดงามทั้งกายและใจจริงๆ พวกตนไม่สมควรล่วงเกิน นางแม้ด้วยวาจา

​ มโหสถยังคงสั่งให้ไปเกี้ยวนางให้ได้ ชายหนุ่มเจ้าสำราญทั้งสี่ได้ไปจีบนางอีกถึง ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ

​ นางอมราถือว่า แม้ชายหนุ่มเหล่านี้จะมีเงินทองมากมายมาล่อ แต่ไม่ได้เศษเสี้ยวของสามีนางผู้เป็นนักปราชญ์ อยากฟัง และอยากอยู่ร่วมกับช่างชุนผู้เป็นนักปราชญ์เท่านั้น

​ เมื่อมโหสถรู้ว่า นางอมราเป็นหญิงที่มีความซื่อตรงต่อตนจริงๆ จึงออกไปรับตัว

​ ฝ่ายพระราชาทรงจัดพิธีวิวาหมงคลให้กับทั้งสองอย่างสมเกียรติ ทีเดียว

Built with Hugo
Theme Stack designed by Jimmy